วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อินเดียจากภูมิสัณฐานถึงยุคพระเวท




อินเดีย : จากภูมิสัณฐานถึงยุคพระเวท
อินเดียจากสารานุกรมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน (๑)
ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
บทนำ
เมื่อเอ่ยถึงอินเดีย ภาพและความหมายของอินเดียในความรู้สึกของคนไทย อาจจะแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของแต่ละคนว่าได้รับรู้เกี่ยวกับอินเดียจากแหล่งใด ถ้าจะกล่าวอย่างง่าย ๆ ที่สุด อินเดียมีภาพและความหมายอยู่ในใจคนไทย 2 ภาพ คือ
- ภาพเก่าที่มีความหมายว่าอินเดียเป็นดินแดนแห่งความรุ่งเรือง เป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนา
- ส่วนอีกภาพหนึ่งคือภาพใหม่ เป็นภาพของอินเดียที่มีความหมายถึงความยากจนเต็มไปด้วยขอทานและชาวอินเดียเป็นคนตระหนี่เห็นแก่ตัว
ภาพเก่านั้นเป็นภาพที่เกิดขึ้นในใจคนไทย ผ่านการเรียนรู้ทางศาสนาและธรรมเนียมประเพณี ส่วนภาพใหม่ เกิดขึ้นผ่านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารยุคใหม่ ที่บอกกล่าวความเป็นไปของอินเดียที่มองผ่านสื่อมวลชนตะวันตก
ไม่ว่าจะมองผ่านอะไรและเห็นภาพอินเดียเป็นเช่นใด ล้วนแต่เป็นภาพแห่งความจริงของอินเดียทั้งสิ้น เพราะอินเดียเป็นประเทศที่มีอารยธรรมอันเก่าแก่ สืบเนื่องติดต่อกันมาหลายพันปี มีความหลากหลายทั้งทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ภาพที่เรามองเห็นไม่ว่าจะเป็นภาพเช่นไรล้วนสะท้อนความเป็นจริงของอินเดียทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของอินเดียจึงไม่ควรเกิดขึ้นจากการมองเห็นภาพเพียงภาพเดียว แต่ควรจะมีความหมายจากหลาย ๆ ภาพ เพราะภาพพระศาสดาผู้เสียสละดังเช่นพระพุทธองค์ก็เป็นชาวอินเดีย ขณะที่ภาพของคนผู้เห็นแก่ตัวก็เป็นชาวอินเดียได้เช่นกัน และนี่คือ ความมหัศจรรย์ของความเป็นอินเดียที่มีเสน่ห์เย้ายั่วให้คนภายนอกอยากรู้
 
อินเดีย : แผ่นดินและประชากร
อินเดียเป็นชื่อที่ชาวโลกทั่วไปเรียก หากแต่ประชาชนชาวอินเดียกลับเรียกตัวเขาเองว่า "ภารต" และเรียกแผ่นดินที่เขาอยู่อาศัยว่า "ภารตประเทศ"
"ภารต" เป็นชื่อที่ใช้เรียกในความหมายกว้าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมประชาชนและแผ่นดินแห่งอินเดียทั้งหมด หากแต่เมื่อท่องเที่ยวไปบนแผ่นดินอินเดีย และพบปะกับประชาชนชาวอินเดีย เขาเหล่านั้นก็จะมีความเป็นอินเดียที่แยกย่อยลงไปอีก ขณะที่เดินทางอยู่บนแผ่นดินอินเดีย ท่านอาจจะได้พบเพื่อนเดินทางที่มีร่างกายสูงใหญ่ผิวขาว จมูกโด่ง เขาจะบอกท่านว่าเขาเป็นปัญจาบีหรือซิกข์ ที่นับถือศาสนาซิกข์ พูดภาษาปัญจาบี มีเลือดเนื้อเป็นชาวอารยัน แต่พร้อม ๆ กันนั้นท่านก็อาจจะมีเพื่อนเดินทางชาวอินเดียที่มีร่างกายเล็กเตี้ย ผิวดำ จมูกแบน เขาจะบอกท่านว่า เขาเป็นชาวทมิฬ พูดภาษาทมิฬ นับถือศาสนาฮินดู มีเลือดเนื้อเป็นชาวดราวิเดียน
ภาพแห่งความแตกต่าง หลากหลายเหล่านี้ จะปรากฏอย่างเป็นปกติบนแผ่นดินอินเดีย แผ่นดินที่มีความแตกต่างทางภูมิประเทศและมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมของประชาชน
 
แผ่นดินอินเดีย
ประเทศอินเดีย มีอาณาเขตกว้างขวาง ครอบคลุมพื้นที่ถึง 3,287,263 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนของพื้นที่ผิวดินของโลกทั้งหมดจะเป็นอินเดีย 2.42 % ของแผ่นดินโลก ถ้าจะจัดอันดับของความกว้างใหญ่ของแผ่นดิน อินเดียมีอาณาเขตกว้างใหญ่เป็นอันดับที่ 7 รองจากรัสเซีย แคนาดา จีน สหรัฐอเมริกา บราซิล และออสเตรเลีย ถ้านำไปเทียบกับยุโรปทั้งหมด อินเดียจะมีขนาดเท่ากับ 2 ใน 3 ของยุโรป เมื่อเทียบกับประเทศไทย อินเดียจะมีอาณาเขตกว้างใหญ่กว่าไทย 6 เท่า
อาณาเขตประเทศอินเดีย ทิศเหนือมีเทือกเขาหิมาลัยเป็นพรมแดนจะไปจดประเทศจีนและเนปาล ทิศตะวันออกจดประเทศภูฐาน พม่าและบังคลาเทศ ทิศตะวันตกจดประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถาน ทิศใต้อยู่ระหว่างทะเลอาระเบียนและมหาสมุทรอินเดีย โดยมีอ่าวเบงกอลอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้
แผนที่ประเทศอินเดีย
แผนที่ประเทศอินเดีย
ภายในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ ประกอบไปด้วยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ 4 ประเภท คือ
1. เขตเทือกเขาสูง เป็นเขตพื้นที่ทางภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เทือกเขาที่คนไทยรู้จักดี คือ เทือกเขาหิมาลัย อันเป็นต้นตำนานป่าหิมพานต์ ภูมิประเทศเขตนี้ จะมีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี
2. เขตที่ราบลุ่ม เป็นพื้นที่ราบ มีแม่น้ำสายสำคัญ ๆ ไหลผ่าน ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา ที่ราบลุ่มแม่น้ำโคธาวารี
3. เขตทะเลทราย เป็นเขตที่มีอากาศแห้งแล้ง ร้อน เช่น ในเขตทะเลทรายธาร์
4. เขตชายฝั่งทะเล เป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเล ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งมีทะเลทั้ง 3 ด้าน คือ อ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย และทะเลอาระเบียนโอบล้อมอยู่ ทำให้ประเทศอินเดียมีชายหาดยาวถึง 6,083 กิโลเมตร
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกันเช่นนี้ทำให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศทั้งร้อนจัด หนาวจัด และฝนชุก อยู่ในประเทศเดียวกัน
ปัจจุบันนี้ประเทศอินเดียแบ่งเขตปกครองออกเป็น 29 รัฐ (States) และ 6 ดินแดนสหภาพ (Union Territories)
 
ประชากรอินเดีย
ในปี พ.ศ. 2544 ประเทศอินเดียมีประชากรมากถึง 1,027,015,240 คน มากเป็นอันดับสองรองจากประเทศจีน เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรโลกทั้งหมด ก็จะเป็นชาวอินเดียถึง 16% นั่นคือ ในทุก ๆ 6 คนของประชากรโลก จะเป็นชาวอินเดีย 1 คน ประชากร 1 พันกว่าล้านคนนี้อาศัยอยู่บนแผ่นดินอินเดีย คิดเฉลี่ยแล้ว 1 ตารางกิโลเมตร จะมีชาวอินเดียอาศัยอยู่ 324 คน ถ้าจะเทียบเคียงกับประเทศไทย ประชากรอินเดียมากกว่าประชากรไทย 16 เท่า ขณะที่ 1 ตารางกิโลเมตรที่ชาวอินเดียต้องอยู่ร่วมกันถึง 324 คน แต่คนไทยจะอยู่ร่วมกันเพียงแค่ 124 คนเท่านั้น เพราะฉะนั้น การต่อสู้แย่งชิงในหมู่ชาวอินเดีย ก็ย่อมจะแตกต่างไปจากเราคนไทยมาก
ในท่ามกลางจำนวนประชากรที่มากมายและแออัดยัดเยียดของชาวอินเดียนี้ ยังประกอบไปด้วยความหลากหลายของชาติพันธุ์และวัฒนธรรม จนทำให้ชาวอินเดียมีความหลากสี ต่างพันธุ์ จึงทำให้คนนอกวัฒนธรรมอินเดียงุนงงสงสัยกับความเป็นอินเดียอยู่เสมอมา
 
สีผิวของชาวอินเดีย
ประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่ง ที่มีประชากรของประเทศครบทุกสีผิว มนุษย์โลกเรานี้แม้จะมีจำนวนมากถึง 6 พันกว่าล้านคน แต่เมื่อจำแนกโดยสีผิวแล้ว มีอยู่เพียง 3 สีผิวเท่านั้นเอง คือ ผิวขาว ผิวดำ และผิวเหลือง คนยุโรปเป็นตัวอย่างของคนผิวขาว คนอัฟริกาเป็นตัวอย่างของคนผิวดำ และคนเอเชีย เป็นตัวอย่างของคนผิวเหลือง
มนุษย์ในโลกทั้ง 3 สีผิวนี้ มาอยู่รวมกันเป็นชาวอินเดียมาเนิ่นนานนับพันปีแล้ว ตัวอย่าง เช่น ชาวปัญจาบี และชาวแคชเมียร์ เป็นตัวอย่างของคนอินเดียผิวขาว หรือ อินโดยุโรเปียน (อารยัน) ชาวเกราลา และชาวทมิฬ เป็นตัวอย่างของคนอินเดียผิวดำ หรือเรียกว่า ทราวิฑ ชาวมณีปูร์ ชาวอัสสัม เป็นตัวอย่างของคนอินเดียผิวเหลือง หรือมองโกลอยด์ ในแต่ละกลุ่มสีผิวนี้ยังแยกย่อยออกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อีกมากมาย จนทำให้ประชากรอินเดียเป็นประชากรหลากสีผิว ที่อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนาน ที่ดูสวยงาม จนยากที่จะหาดู เช่นนี้ได้ในประเทศอื่น ๆ
 
ภาษาของชาวอินเดีย
การจำแนกชาวอินเดียโดยสีผิวนั้นค่อนข้างเป็นวิธีการที่ยังหยาบเกินไป เพราะแต่ละสีผิว ยังมีชาติพันธุ์ย่อยลงไปอีกมาก และอีกวิธีหนึ่ง ในการทำความรู้จักกับชาวอินเดียคือ การจำแนกตามภาษาที่ใช้พูดสื่อความ จากการศึกษาของนักภาษาศาสตร์ ที่ทำการสำรวจภาษาของชาวอินเดีย ปรากฏว่าชาวอินเดีย 1 พันกว่าล้านคนนี้ มีภาษาพูดแตกต่างกันถึง 1,652 ภาษา โดยใช้เกณฑ์ว่า ไม่นับภาษาพูดที่มีคนพูดกันน้อยกว่า 1 แสนคน 
แผนที่แบ่งโซนการใช้ภาษาในอินเดีย

แผนที่แสดงเขตพื้นที่การใช้ภาษาต่างๆ เป็นภาษาการศึกษา
เมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษใน พ.ศ.2490(ค.ศ.1947) มีอำนาจในการปกครองตนเองเป็นประเทศอิสระ และกำหนดประเทศให้เป็นสาธารณรัฐ ในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ได้ให้การรับรองภาษาที่จะใช้เป็นภาษาราชการถึง 15 ภาษา คือ
1. ภาษาอัสสัมมีส (Assamess)
2. ภาษาเบงกอลี (Bengali)
3. ภาษาคุชราตี (Gujarati)
4. ภาษาฮินดี (Hindi)
5. ภาษากรรณาฑ (Kanada)
6. ภาษาเเคชมีรี (Kashmiri)
7. ภาษามาลายาลัม (Malayalam)
8. ภาษามารฐี (Marathi)
9. ภาษาโอริยา (Oriya)
10. ภาษาปัญจาบี (Panjabi)
11. ภาษาสันสกฤต (Sansakrit)
12. ภาษาทมิฬ (Thamil)
13. ภาษาเตลุกู (Telugu)
14. ภาษาอูระดู (Uradu)
15. ภาษาสินธี (Sindhi)
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 71 เมื่อปี ค.ศ.1992 ได้มีการเพิ่มเติมภาษาราชการขึ้นอีก 3 ภาษา คือ
1. ภาษาโกนกานี (Konkani)
2. ภาษามณีปูรี (Manipuri)
3. ภาษาเนปาลี (Nepali)
สรุปรวมแล้วปัจจุบันนี้ ประเทศอินเดียมีภาษาใช้เป็นภาษาราชการถึง 18 ภาษา กระจายอยู่ตามรัฐต่าง ๆ ทั่วอินเดีย บางภาษาก็มีจำนวนผู้ใช้มาก เช่นภาษาฮินดี มีผู้ใช้มากกว่า 300 ล้านคนเศษ ขณะที่บางภาษาเช่น ภาษามณีปูรี มีผู้ใช้เพียงแค่ 1 ล้านกว่าคนเท่านั้นเอง
ในการแบ่งเขตการปกครองประเทศอินเดียออกเป็นรัฐ (state) ในปัจจุบันนั้น ได้ใช้เกณฑ์ของภาษาที่ประชาชนพูดเป็นหลักกำหนด โดยยึดหลักว่า ประชาชนที่พูดภาษาเดียวกันจะอยู่ในเขตปกครองเดียวกัน ดังนั้น จึงทำให้แต่ละรัฐมีอาณาบริเวณไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของผู้ใช้ภาษาร่วมกัน
 
ศาสนาของชาวอินเดีย
แม้การทำความรู้จักกับชาวอินเดีย สามารถทำผ่านภาษาได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะรู้จักผู้คนชาวอินเดียอย่างแท้จริง อีกวิธีหนึ่ง ที่จะทำความเข้าใจพวกเขาได้ คือ ทำความเข้าใจผ่านศาสนา
ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่ไม่มีศาสนาประจำชาติ (Secular State) แต่ประชาชนชาวอินเดีย ได้สร้างอัตลักษณ์ของพวกเขาด้วยกระบวนการทางศาสนาเป็นหลัก เพราะฉะนั้น เรื่องศาสนาจึงเป็นเรื่องใหญ่ในความเป็นอินเดีย ในปัจจุบันนี้ชาวอินเดียเมื่อจำแนกโดยศาสนาแล้วจะมีสัดส่วนในแต่ละกลุ่มศาสนา ดังนี้
1. ศาสนาฮินดู - มีคนนับถือประมาณ 82.4%
2. ศาสนาอิสลาม - มีคนนับถือประมาณ 11.7%
3. ศาสนาคริสต์ - มีคนนับถือประมาณ 2.3%
4. ศาสนาซิกข์ - มีคนนับถือประมาณ 2.0%
5. ศาสนาพุทธ - มีคนนับถือประมาณ 0.8%
6. ศาสนาเชน - มีคนนับถือประมาณ 0.4%
7. ศาสนาอื่น ๆ - มีคนนับถือประมาณ 0.4%
ศาสนาฮินดู เป็นศาสนาที่มีศาสนิกชนมากที่สุด ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า เมื่อมีการแยกประเทศออกเป็นประเทศปากีสถานและบังคลาเทศนั้น แยกโดยถือจำนวนศาสนิกชนเป็นตัวกำหนดในการแยก เพราะฉะนั้น ชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามจึงแยกออกไปเป็นประเทศปากีสถาน และบังคลาเทศไปเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้จะมีชาวฮินดูเป็นประชากรกลุ่มใหญ่จนอาจจะกล่าวได้ว่า อินเดียเป็นประเทศฮินดู แต่ประชาชนชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอื่น ๆ นอกจากฮินดู ก็มีสิทธิและเสรีภาพทางศาสนาไม่น้อยและด้อยกว่าฮินดู อาจจะกล่าวได้ว่า อินเดียเป็นดินแดนเสรีภาพทางศาสนาที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลกก็ได้
ความแตกต่างระหว่างชาวอินเดียที่นับถือศาสนาต่างกันนั้น มีเงื่อนไขของจารีต วัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นเข้ามาประกอบด้วย เช่น ชาวต่างประเทศอาจจะได้เห็นภาพของความขัดแย้งระหว่างชาวอินเดียที่เป็นมุสลิมและฮินดูในรัฐคุชราต เพราะมีข่าวสารการเบียดเบียนกันระหว่างศาสนิกชนทั้ง 2 ศาสนา แต่ภาพของชาวมุสลิมและชาวฮินดูในรัฐเกราลา ที่ตั้งบ้านอยู่ติดกัน เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันและกันก็มีอยู่ในสังคมอินเดีย นอกจากนี้ ยังมีชาวคริสต์ที่ดำเนินชีวิตอย่างกลมกลืนกับวัฒนธรรมฮินดู เช่น รับประทานอาหารมังสวิรัติ เพราะเชื่อว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นบาป เรื่องศาสนาที่เป็นครรลองของวิถีแห่งชีวิตของชาวอินเดีย จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราเรียนรู้ชาวอินเดียได้ดียิ่งขึ้น
เนื่องจากชาวอินเดียถึง 82 % เป็นชาวฮินดู ระบบความคิดและความเชื่อแบบฮินดู จึงเป็นกรอบสำคัญในการกำหนดกลุ่มชาวอินเดีย ทำให้ชาวต่างประเทศได้ใช้เป็นเครื่องกำหนดวิธีการเรียนรู้ชาวอินเดียได้ กรอบกำหนดชาวอินเดีย โดยกรอบศาสนาฮินดูที่ชาวต่างประเทศคุ้นเคยคือ กรอบของ "วรรณะ"
 
วรรณะของชาวอินเดีย
เรื่อง "วรรณะ" เป็นเรื่องที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจชาวอินเดียมายาวนาน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เขียนเป็นนักเรียนอยู่ในอินเดีย ได้ออกไปพบชาวอินเดียตามชนบทหลายครั้ง แล้วถูกเขาถามว่าเป็นวรรณะอะไร เมื่อตอบว่าไม่มีวรรณะ เขาจะรู้สึกแปลกใจว่า เป็นไปได้อย่างไรที่เป็นมนุษย์แล้วไม่มีวรรณะ การที่ตอบว่าไม่มีวรรณะ เป็นคำตอบที่เขาคิดว่าเหลวไหล คล้ายกับถามว่า "เป็นลูกใคร" แล้วตอบว่า "ไม่มีพ่อ" เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดมาแล้วไม่มีพ่อ หากไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อก็ยังพอฟังได้ แต่คำตอบว่าไม่มีพ่อนั้นเหลวไหลสิ้นดี ความคิด ความเชื่อของชาวอินเดียในชนบทเช่นนี้ ย่อมบอกให้เรารู้ว่า เรื่อง "วรรณะ" เป็นเรื่องใหญ่ของชาวอินเดีย
ตัวตนของชาวอินเดียนั้นถูกทำให้ปรากฏผ่านกรอบของระบบวรรณะมาอย่างยาวนานนับพันปี แม้ต่อมาระบบวรรณะจะถูกทำให้คลายความสำคัญลง แต่ก็ยังคงเป็นกรอบกำหนดความหมายแห่งชีวิตของชาวอินเดียที่เป็นฮินดูอยู่ อัตลักษณ์ของชาวฮินดูถูกนิยามขึ้นจากโคตรและสกุลที่สังกัดอยู่ในวรรณะใดวรรณะหนึ่ง ความหมายแห่งความเป็นตัวตนของบุคคลหนึ่ง ๆ จึงไม่ได้สร้างขึ้นมาอย่างลอย ๆ หากแต่ต้องผูกพันอยู่กับ วรรณะ โคตร และสกุล ชื่อสกุล จึงมีความหมายบอกวรรณะไปด้วย เช่น เมื่อเราได้รู้ว่าคนนี้สกุล "คานธี" ชื่อสกุลนี้จะบ่งบอกว่าเป็นวรรณแพศย์ ที่สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มพ่อค้าที่ค้าขายเครื่องของหอม (คันธ = เครื่องของหอม) เป็นต้น
แม้ในปัจจุบัน วรรณะ ไม่ได้กำหนดระดับชั้น และหน้าที่ในสังคมเหมือนดังเช่นอดีต แต่ระบบวรรณะ ก็ยังเป็นกรอบที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจความเป็นคนอินเดียได้อยู่พอสมควร
ไม่ว่าจะเป็นสีผิว ชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา หรือ วรรณะ ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่าความเป็นอินเดียมีราก มีเครื่องประดับตกแต่งที่น่าสนใจสำหรับใครก็ตามที่สนใจอินเดีย
 
อารยธรรมในอดีตของอินเดีย
มนุษย์ในเชิงกายภาพและชีวเคมีนั้น คงจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก แม้ว่าจะมีชาติพันธุ์ต่างกัน แต่มนุษย์ในเชิงวัฒนธรรมนั้นกลับมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน ยิ่งการทำความเข้าใจมนุษย์ต่างวัฒนธรรม ยิ่งมีความยากยิ่งกว่ามนุษย์ในวัฒนธรรมเดียวกัน
ชาวอินเดียเกิดมาในวัฒนธรรมที่มีอายุเก่าแก่นับเป็นเวลาหลายพันปี อายุของวัฒนธรรมในแต่ละสังคมนั้นมีไม่เท่ากัน วัฒนธรรมไทยมีอายุไม่กี่ร้อยปี ขณะที่วัฒนธรรมอินเดียมีอายุหลายพันปี อายุของวัฒนธรรม ถูกสืบทอดต่อกันมาจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ผ่านระบบความคิด ความเชื่อ ความนิยม ที่เป็นสายใยต่ออายุของวัฒนธรรมให้สืบเนื่องกัน ไม่ขาดสูญหายไปกับกาลเวลา ในบรรดาประเทศที่มีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่เก่าแก่ของโลกนั้น อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งอารยธรรมของโลก
ถ้าวัฒนธรรมเปรียบเสมือนแม่น้ำ แม่น้ำแห่งวัฒนธรรมอินเดีย ก็เป็นสายน้ำที่ยาวไกล จนไม่รู้ว่าต้นน้ำนั้นอยู่ ณ ที่ใด เรารู้ได้แต่เพียงว่า เราได้ดื่มกินน้ำในแม่น้ำสายนี้ โดยไม่เคยย้อนรอยกลับไปถึงต้นกำเนิดที่แน่ชัดของแม่น้ำเลย
ยังคงเป็นปริศนาสำหรับนักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดี ที่จะชี้ชัดว่าวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่ชื่อว่าอินเดียนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด และชนกลุ่มใดเป็นผู้สร้างวัฒนธรรมอันมีอายุยาวนานนี้
 
อารยธรรมสินธุ
จุดที่เก่าแก่ แต่พอจะกำหนดรู้ได้เกี่ยวกับอารยธรรมอินเดียคือ จุด ณ ช่วงเวลาประมาณ 2,500 - 1,500 ปี ก่อนพุทธศักราช ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ณ พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ มีร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีให้ปรากฏว่า มีการตั้งถิ่นฐานของประชาชนที่รู้จักทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยโลหะชนิดต่าง ๆ มีการจัดผังเมืองที่ดี มีระบบสาธารณูปโภคที่เหมาะสม เช่น มีการตัดถนน มีทางระบายน้ำ มีการจัดระบบส่งน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคใช้สอยอย่างเหมาะสม บ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็สร้างด้วยอิฐ ในลักษณะอาคารหลายชั้น ประชาชนมีความสามารถทำเครื่องประดับตกแต่งด้วยโลหะมีค่าประเภททองคำ เงิน และอัญมณีประเภทต่าง ๆ ทางด้านสังคมก็มีระบบความเชื่อ มีการเคารพบูชาเทพเจ้าที่เป็นพระแม่เจ้า(เทพผู้หญิง) และเคารพธรรมชาติรอบ ๆ ตัว เช่น แม่น้ำ แผ่นดิน ภูเขา เป็นต้น
ร่องรอยอารยธรรมดังกล่าวถูกสำรวจพบโดยนักสำรวจชาวอังกฤษ ศูนย์กลางอยู่ที่ฮารัปปา (Harappa) ในเมืองลักขณะ แคว้นปัญจาบ และที่โมเฮ็นโจดาโร (Mohenjo-Daro) ที่เมืองตะโกเมอรี่ แคว้นซินด์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศปากีสถาน หลักฐานที่สำรวจพบนี้ เป็นสิ่งยืนยันความรุ่งเรืองของประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ เมื่อประมาณ 5,000 ปีผ่านมาแล้ว และอารยธรรมที่รุ่งเรืองในยุคนั้น รู้จักกันในชื่อว่า อารยธรรมสินธุ (Sindhu Civilization)
ชนกลุ่มใดเป็นผู้สร้างอารยธรรมนี้ และอารยธรรมที่เกิดขึ้นนั้นจบลงอย่างไร ยังคงเป็นคำถามให้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีในปัจจุบันถกเถียงกันอยู่ คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ชนพื้นเมืองแห่งที่ราบลุ่มสินธุ ซึ่งเป็นชนเผ่าทราวิฑหรือมิลักขะเป็นผู้สร้าง และมีความสัมพันธ์กับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia Civilization) ในบริเวณลุ่มน้ำไทกริสและยูเฟรติสบริเวณเอเชียกลาง
อารยธรรมสินธุนี้ มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนที่ชนเผ่าอารยันจะเข้ามาสู่แผ่นดินอินเดียในปัจจุบัน แต่แล้วอารยธรรมสินธุนี้ก็เสื่อมลง เหลือไว้แต่ทรากอารยธรรมที่เป็นเพียงร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีต อะไรคือเหตุแห่งความเสื่อมของอารยธรรมสินธุ ยังเป็นปัญหาให้นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันนี้ บ้างก็ว่า ถูกทำลายลงโดยพวกอารยัน บ้างก็ว่า เพราะภัยธรรมชาติ หรือบางความเชื่อก็ว่า เป็นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลง จึงทำให้ประชาชนในที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุอพยพไปแสวงหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม แต่ผลที่ปรากฏก็คือ อารยธรรมสินธุได้จบสิ้นลงประมาณ 2,000 - 1,500 ปี ก่อนพุทธศักราช
 
อารยธรรมพระเวท
ชนเผ่าอารยัน เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินอินเดียมาก่อนหรือหลังอารยธรรมสินธุ ยังเป็นประเด็นโต้แย้งกันอยู่ แม้ในปัจจุบันนี้ แนวความคิดที่ยึดถือโดยคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ชนเผ่าอารยันเข้ามาสู่อินเดียหลังจากความเจริญสูงสุดของอารยธรรมสินธุผ่านไปแล้ว และชาวอารยัน ได้สร้างอารยธรรมของตนเองขึ้นมาในรูปแบบและเนื้อหาที่แตกต่างไปจากอารยธรรมสินธุเดิม แต่ก็ยังมีบางแนวคิดที่เชื่อว่า ชนเผ่าอารยันอยู่บนแผ่นดินอินเดียมานานแล้ว แต่ไม่ได้มีบทบาทในการสร้างวัฒนธรรมที่เป็นกระแสหลักของสังคม จวบจนเมื่ออารยธรรมสินธุเสื่อมลง จึงทำให้วัฒนธรรมของพวกอารยันกลายมาเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก และพัฒนามาเป็นอารยธรรมในเวลาต่อมา
ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายตามแบบแนวคิดใด อารยธรรมของพวกอารยันที่รู้จักกันคือ อารยธรรมพระเวทนั้น เกิดขึ้นหลังอารยธรรมสินธุ นั่นคือ เมื่อประมาณ 1,500 ปี ก่อนพุทธศักราชคัมภีร์พระเวท คือ หลักฐานยืนยันความรุ่งเรืองของอารยธรรมของชนเผ่าอารยันบนแผ่นดินอินเดีย ในขณะที่หลักฐานยืนยันความรุ่งเรืองของอารยธรรมสินธุ คือ โบราณวัตถุ อันเป็นเศษทรากอิฐและโบราณวัตถุอื่น ๆ ที่จับต้องได้ แต่สิ่งที่ยืนยันความรุ่งเรืองของพวกอารยัน สามารถดูได้จากหลักฐานทางจินตนาการ
คัมภีร์พระเวท คือ หลักฐานทางจินตนาการที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพวกอารยัน จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้ถูกสร้างสรรค์ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนปรากฏเป็นรูปคัมภีร์ที่รู้จักกันในชื่อ "ไตรเวท" (คัมภีร์พระเวททั้ง 3 ) ได้แก่
1. ฤคเวท
2. ยชุรเวท และ
3. สามเวท
(พระเวทที่ 4 คือ อถรวเวท หรือ อาถรรพเวท เกิดขึ้นในภายหลัง)
คัมภีร์พระเวทนี้ ได้กลายมาเป็นรากฐานของอารยธรรมอินเดียในเวลาต่อมา และสืบทอดกันมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ด้วยรากฐานคือคัมภีร์พระเวทนี้เอง ที่เป็นฐานให้เกิดคัมภีร์อื่นคือ คัมภีร์พราหมณ, คัมภีร์อุปนิษัท, ตลอดทั้งมหากาพย์และวรรณกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ที่กลายมาเป็นจินตนาการอันทรงพลังให้กับความเจริญรุ่งเรืองของสังคมอินเดียในเวลาต่อมา
จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้กลายมาเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตและกฎระเบียบทางสังคม ในแง่ของสังคม ได้เกิดระบบวรรณะที่ทรงพลัง จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสังคมอินเดีย วรรณะทั้ง 4 คือ
1. พราหมณ์
2. กษัตริย์
3. แพศย์ และ
4. ศูทร
ข้อกำหนดเรื่องวรรณะนี้ มิใช่กฏระเบียบทางสังคม ที่เป็นเพียงข้อบังคับหรือข้อกำหนดทางหน้าที่ในสังคม เหมือนข้อกำหนดในสังคมอุตสาหกรรมปัจจุบัน หากแต่เป็นข้อกำหนดแห่งคุณค่าและความหมายของชีวิต สำหรับชาวอินเดีย แนวคิดเรื่องวรรณะของชาวอารยัน ได้กลายมาเป็นความเชื่อในเชิงโครงสร้างของสังคมอินเดีย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และความสัมพันธ์กันในมิติอื่น ๆ
ในแง่เศรษฐกิจ ระบบวรรณะเป็นกรอบในการกำหนดการถือครองปัจจัยในการผลิตและการกระจายผลผลิต หากมองในยุคปัจจุบัน ภาพของระบบวรรณะ อาจจะดูว่าเป็นความไม่ยุติธรรม แต่เมื่อดูผลของระบบนี้ในเชิงเศรษฐกิจแล้วจะพบว่า ด้วยระบบการแบ่งงาน แบ่งหน้าที่กันในลักษณะนี้นี่เอง ที่ทำให้สังคมอินเดียยุค 3,000-4,000 ปีก่อนนี้ มีความความเข้มแข็ง มั่นคง จนได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลก ในด้านสังคม การเมือง การปกครองก็เช่นกัน ระบบวรรณะ ได้ทำให้โครงสร้างความสัมพันธ์กันของปัจเจก เป็นผลให้เกิดความมั่นคงของชุมชนและสังคมโดยส่วนรวม
ระบบความเชื่อเรื่องวรรณะนี้ เจริญงอกงามเป็นพลังกระแสหลัก กำหนดสังคมอินเดียได้ ก็ด้วยเพราะความเชื่อในคัมภีร์พระเวท แล้วถูกต่อเติมด้วยคัมภีร์พราหมณหมวดต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นผลผลิตทางจินตนาการของพวกอารยัน
นอกเหนือไปจากระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองแล้ว ชุดคำอธิบายภายใต้กรอบแนวคิดในคัมภีร์พระเวท คือ การกำหนดคุณค่าและความหมายของความเป็นมนุษย์ ที่เป็นรากฐานสำคัญยิ่งในความเป็นไปของกิจการต่าง ๆ ในหมู่มนุษยชาติ ความเชื่อมั่นในเป้าหมายของชีวิต (ปุรุษารถ) และจังหวะก้าวในแต่ละขั้นตอนของชีวิต (อาศรม) ที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ ได้กลายมาเป็นแผนที่ในการดำเนินชีวิตของชาวอินเดียในยุคนั้น

ที่มาของข้อมูล
อินเดีย : จากภูมิสัณฐานและประชากรถึงยุคพระเวท
ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
นักวิชาการอิสระ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของสารานุกรมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
โดยมีหัวข้อสำคัญดังนี้คือ อินเดีย : แผ่นดินและประชากร, ศาสนาของชาวอินเดีย, วรรณะของชาวอินเดีย
อารยธรรมในอดีตของอินเดีย อารยธรรมสินธุ, อารยธรรมพระเวท
midnightuniv@yahoo.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น