วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ข้อควรรู้ เมื่อไปเยือนประเทศอินเดีย ในด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ต่างกัน

สวัสดีครับ วันนี้ผมไปหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อควรรู้เมื่อไปเยือนประเทศอินเดียมาฝากครับ เผื่อว่าจะได้เป็นประโยชน์ เพราะด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ต่างกันของคนแต่ละประเทศนั้น อาจจะผิดพลาดกันได้ในการสื่อสาร อีกทั้งข้อมูลนี้ยังมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆและนักโฆษณาในการสร้างโฆษณาให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ว่าเราจะทำโฆษณาแบบ Local   Glocal หรือ Global ครับ


          1. หนุ่มสาวอินเดียไม่แสดงความรักต่อกันในที่สาธารณะ หากคุณมาถึงอินเดียแล้วเห็นชายหนุ่มหลายคู่เดินจับมือถือแขนหรือโอบไหล่กัน ขอให้คุณรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่เกย์หรือคู่รักร่วมเพศแต่อย่างใดหรอกค่ะ เพราะคนอินเดียเพศเดียวกันเค้าทำกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่กลับกัน สิ่งที่ไม่ปกติและไม่เป็นที่ยอมรับของคนที่นี่เลยก็คือ การที่คู่หนุ่มสาวเดินจูงมือหรือโอบไหล่กันในที่สาธารณะ ดังนั้น หนุ่มสาวที่ไปเยือนอินเดีย ควรระวังเรื่องการแสดงออกในที่สาธารณะให้มากหน่อยนะจ๊ะ เพราะคนที่นี่เค้ามองว่าการกระทำแบบนี้เป็นเรื่องน่าเกลียดค่ะ

          2. สำหรับผู้ชายที่อยากสร้างมิตรภาพดี ๆ กับเพื่อนชาวอินเดียซักคน คุณควรมีความรู้เรื่องคริกเก็ต กีฬายอดฮิตของคนที่นี่ไว้บ้าง ซึ่งไม่ว่าจะไปที่ไหน คุณก็จะเห็นหนุ่ม ๆ อินเดียเล่นคริกเก็ตกันตามข้างถนน หรือสวนสาธารณะ ซึ่งยิ่งคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้และร่วมเล่นกับพวกเขาได้ คุณก็จะมีเพื่อนอินเดียได้อย่างง่าย ๆ เลยล่ะ


อินเดีย


          3. รู้จักการกินโดยไม่ใช้ช้อน แน่นอนหมายถึงการกินอาหารด้วยมือเปล่านั่นเอง อ๊ะ แต่ต้องใช้มือขวานะ เพราะมือซ้ายเค้าถือว่าเป็นมือที่ใช้ทำธุระในห้องน้ำ ซึ่งการทานอาหารด้วยมือเปล่าของคนที่นี่ เริ่มตั้งแต่อาหารจานหลักอย่างข้าวกันเลย คุณต้องใช้เทคนิคนิดหน่อยสำหรับการปั้นข้าวกับกับข้าวให้เป็นคำ ๆ เพื่อหยิบมันเข้าปากได้อย่างสบาย เพราะที่นี่อาหารบางอย่างก็ไม่ได้มีช้อนให้เสมอไปค่ะ

          4. พกกระดาษชำระและไฟฉายไว้ตลอดเวลา เพราะห้องน้ำสาธารณะในอินเดีย ไม่ว่าจะเป็น ในรถไฟ จุดบริการนักท่องเที่ยว หรือที่ไหนก็ตามแต่ ไม่มีกระดาษชำระไว้ในนั้นหรอกค่ะ รวมถึงไฟฉายก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยด้วย เพราะที่อินเดียไฟดับเป็นเรื่องปกติ ก็คงลำบากไม่น้อยหากคุณกำลังทำธุระอยู่แล้วจู่ ๆ ไฟก็ดับไปซะดื้อ ๆ

          5. คุณต่อรองสินค้าได้กับทุกคน ในอินเดียการค้าขายเป็นเหมือนลมหายใจของพวกเขาเลยทีเดียว หากมีใครเสนอขายสินค้าให้คุณในราคา 1200 รูปี มูลค่าจริง ๆ ของมันไม่ได้แพงถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ คุณอาจต่อราคาลงเหลือ 600 รูปี โดยที่พวกเขาก็ยอมรับด้วยนะ เพราะนั่นเป็นราคาที่เค้าตั้งมาเผื่อต่อนั่นเอง เพราะฉะนั้น คุณไม่ควรควักกระเป๋าซื้อสินค้าโดยไม่มีการต่อรองอะไรเลย โดยเฉพาะในมุมไบ และตลาดใหญ่ ๆ ต่าง ๆ

          6. ศึกษาเรื่องป้ายบอกทางและตารางการเดินรถไฟให้ดี ๆ หากคุณเที่ยวอินเดียแบบแบคแพกเกอร์แล้วล่ะก็ การขึ้นรถไฟผิดขบวนเพราะรถไฟแต่ละขบวนมาไม่ตรงเวลา จะทำให้คุณเสียเวลาไปทั้งวันเลยก็ได้

          7. พกยาต้านมาลาเรียไปด้วยทุกครั้ง โดยเฉพาะหากคุณเดินทางไปเยี่ยมชมเมืองชนบทของอินเดียแล้วล่ะก็ ยาต้านมาลาเรียเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยล่ะ เพราะอินเดียมียุงที่เป็นพาหพนำเชื้อมาลาเรียเยอะเหลือเกิน แม้แต่ในเมืองก็ตามที และจำไว้ว่าเมื่อคุณกลับมาแล้ว อย่าลืมไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพของตัวเอง 2 เดือนครั้ง เพื่อความแน่ใจว่าคุณไม่ได้ติดเชื้ออะไรกลับมา


อินเดีย

          8. คุณไม่ควรพลาดที่จะผ่อนคลายความเมื่อยล้า ด้วยการนวดแบบ Ayurvedic การนวดและวิธีรักษาโรคแบบ Ayurvedic นั้นมีชื่อเสียงมาก ๆ ในอินเดีย ที่ใครหลาย ๆ คนยอมรับถึงสรรพคุณในการบำบัดอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยการนวดที่นี่นั้น จะไม่เหมือนเมืองไทยตรงที่ผู้ชายจะนวดให้ผู้ชาย และผู้หญิงก็จะนวดให้ผู้หญิงเท่านั้น เนื่องจากวัฒนธรรมของอินเดีย ถือเรื่องของการถูกเนื้อต้องตัวกันระหว่างเพศตรงข้ามมาก 

          9. ระมัดระวังเรื่องรองเท้าคู่เก่งของคุณให้ดี ๆ โดยเฉพาะเวลาที่คุณเข้าวัดอินเดีย จะต้องถอดรองเท้าไว้นอกวัดเสมอ และมันจะหายเอาได้อย่างง่าย ๆ ยิ่งเป็นรองเท้าหนังหรือผ้าใบคู่เก๋สะดุดตาแล้ว ยิ่งมีสิทธิ์หายได้ง่ายขึ้นมาก ๆ เลยค่ะ ดังนั้น ขอแนะนำว่าหากจะเข้าวัดอินเดีย ควรใส่รองเท้าแตะถูก ๆ ที่ใส่ง่ายถอดง่ายไปดีกว่า หรืออีกทางหนึ่งคือจับผ้าใบคู่เก่งของคุณใส่ถุงยัดใส่กระเป๋าไปด้วยนั่นแหละ

          10. หากคุณชื่นชอบการเที่ยววัดวาอาราม แนะนำให้คุณไปอินเดียใต้ เพราะที่นั่นเป็นศูนย์รวมของวัดวาอาราม วัง และสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของอินเดีย ซึ่งเป็นที่ที่คุณจะสัมผัสได้ถึงความเป็นอินเดียได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังเป็นที่ที่รวบรวมเอาของฝากจากทั่วทุกภาคของอินเดียไว้อีกด้วย

นักปกครองในประเทศอินเดีย



ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-61849-0001, Indien, Otto Grotewohl bei Ministerpräsident Nehru cropped.jpg

ชวาหระลาล เนห์รู
นายกรัฐมนตรีคนแรก หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 17 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1947 จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งเมื่อ ค.ศ. 1964
ชวาหระลาล เนห์รู เป็นผู้ใกล้ชิด และร่วมเรียกร้องเอกราชให้กับอินเดียร่วมกับมหาตมา คานธี และมีบทบาทโดดเด่นขึ้นจนได้รับสืบทอดเป็นทายาททางการเมือง โดยรับตำแหน่งประธานพรรคคองเกรสอินเดียสืบต่อจากคานธี

ไฟล์:Manmohansingh04052007.jpg

มานโมฮัน ซิงห์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอินเดีย เข้ารับตำแน่งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 โดยเขาเป็นชาวซิกซ์โดยกำเนิด เมื่อ วันที่ 22-26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มานโมฮัน ซิงห์ ได้เยือน สหรัฐอเมริกา 

ไฟล์:Rajiv Gandhi (cropped).jpg

าชีพ รตนะ คานธี นายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของอินเดีย ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 1984 ถึง ค.ศ. 1989 โดยเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียที่อายุน้อยที่สุด ขณะเข้าดำรงตำแหน่ง (40 ปี)

ไฟล์:Indira2.jpg

อินทิรา ปรียทรศินี คานธี  เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของอินเดียที่ดำรงตำแหน่งถึง 3 วาระติดต่อกัน และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในอินเดียที่เป็นผู้หญิง




สถานที่ท่องเที่ยว ที่คุณไม่ควรพลาดในอินเดีย


หากคุณได้ไปเที่ยวอินเดีย สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด มีดังนี้ครับ


1. ทัชมาฮาล สัญลักษณแห่งรักนิรันดร์

          แน่นอนว่า ทัชมาฮาล (Taj Mahal) เมืองอักรานั้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจอยากเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง เป็นอันดับต้น ๆ เมื่อไปเยี่ยมชมประเทศอินเดียแน่นอน เพราะนอกจากจะมีความประณีตสวยงามราวกับภาพวาด จนได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในมรดกโลกแล้ว ทัชมาฮาลยังเป็นตัวแทนของความรักที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีวันเสื่อมคลายของ จักรพรรดิ ชาห์ ชหานชีร์ ที่สร้างแก่พระมเหสีอันเป็นที่รักของพระองค์อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ทองเที่ยวที่โรแมนติกสุด ๆ 


2. เยี่ยมชม ออโรวิลล์ เมืองในอุดมคติ

          ออโรวิลล์ (Auroville) เมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1968 โดยมีจุดประสงค์ให้เป็นเมืองที่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข โดยไม่เกี่ยงเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา หรือการเมือง โดยสถาปัตยกรรมในเมืองนี้ เป็นผลงานการออกแบบของ โรเจอร์ แองเกอร์ สถาปนิกชาวฝรั่งเศส สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จึงเน้นไปที่เสน่ห์ของการผสมผสานระหว่างศิลปะแนวโมเดิร์นของฝั่งตะวันตกกับศิลปะดั้งเดิมของทางอินเดียเป็นหลัก


3. แวะชมธรรมชาติสวย ๆ ที่ดาร์เจียลิง

          หากคุณคิดว่าจะพบแต่ความร้อนระอุแห้งแล้งที่ประเทศอินเดียล่ะก็ผิดถนัด เพราะที่อินเดียนั้นก็มีสถานที่ร่มรื่นให้คุณได้พักผ่อนชื่นชมธรรมชาติสวย ๆ เช่นกัน ซึ่งคุณสามารถหาชมสิ่งเหล่านี้ได้ที่ ดาร์เจียลิง (Darjeeling) แหล่งปลูกชาของอินเดีย ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ที่มีให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมไม่รู้เบื่อ


4. สัมผัสเสน่ห์เมืองมุมไบ

          เป็นอีกหนึ่งเมืองที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปเยี่ยมชมประเทศอินเดีย โดยเฉพาะสำหรับคอหนังทั้งหลาย เพราะเป็นเมืองที่มีโรงภาพยนตร์ IMAX ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้งที่นักช้อปทั้งหลายไม่ควรพลาดอีกด้วย


5. ชมศิลปะเก่าแก่ที่พิพิธภัณฑ์ปอนดีเชอรี


          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลชื่นชมวัตถุโบราณเป็นพิเศษ ก็ไม่ควรพลาดการชมพิพิธภัณฑ์ปอนดีเชอรี (Pondicherry Museum) เพราะเป็นสถานที่ซึ่งได้รวบรวมหินสลัก และศิลปะจากแร่ทองแดง รวมถึงศิลปะเก่าแก่อื่น ๆ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ปัลวะและราชวงศ์โจละอันเก่าแก่เอาไว้ โดยพิพิธภัณฑ์นี้จะเปิดทำการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 17.00 น. เรียกได้ว่าใครที่ต้องการศึกษาอารยธรรมเก่าแก่ของชาวอินเดีย ไม่ควรพลาดการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เด็ดขาด

6. พักผ่อนริมแม่น้ำ Kodiakanal

          ชื่อของแม่น้ำแห่งนี้มีความหมายว่า "ของขวัญจากป่าเขา" ซึ่งนับว่าเป็นชือที่เหมาะกับแม่น้ำแห่งนี้มาก เพราะนอกจากที่นี่จะมีวิวสวย ๆ ริมแม่น้ำให้เราได้ชมกันจนเพลินตาแล้ว แม่น้ำ Kodiakanal ยังมีบริการให้นักท่องเที่ยวขี่ม้าชมวิวและปีนเขาได้อีกด้วย จึงถือได้ว่าเป็นสถานที่สวยงามและเหมาะกับการพักผ่อนทุกรูปแบบ ราวกับของขวัญจากธรรมชาติอย่างแท้จริง


7. รำลึกประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่ป้อม Gingee 

          ป้อม Gingee หรือที่ชาวยุโรปเรียกกันว่า "ทรอยแห่งทิศตะวันออก" ซึ่งเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ในสมัยของราชวงศ์โจฬะ และถูกบูรณะขึ้นอีกครั้งในยุคของราชวงศ์วิชยนครา ศตวรรษที่ 13 โดยในสถานที่แห่งนี้ คุณจะได้พบสิ่งก่อสร้างเก่าแก่มากมาย อาทิ กัลยาณะมาฮาล ซึ่งเป็นหอสมรสที่มีความสูงถึง 800 ฟุต วัดฮินดู และห้องขังนักโทษ เป็นต้น
 

8. ล่องแพสบาย ๆ ที่เกรละ

          เกรละ (Kerala) เป็นอีกที่ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปกันเป็นพิเศษ เพราะมีบ้านลอยแพให้เราเช่ามาไว้ใช้พักผ่อน ชื่นชมธรรมชาติกันได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ คุณยังสามารถสนุกกับการเชียร์กีฬาแข่งพายเรือ ซึ่งจัดขึ้นที่นี่บ่อย ๆ ได้เช่นกัน


9. เทือกเขาหิมาลัย..ศูนย์รวมแห่งการพักผ่อน

          หากคุณพลาดการเยี่ยมชมเทือกเขาหิมาลัยที่ประเทศอินเดียแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่าพลาดมาก ๆ เพราะความงามจากวิวทิวทัศน์รอบ ๆ เทือกเขาแห่งนี้นั้นเหนือคำบรรยายใด ๆ เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม นอกจากวิวสวย ๆ บนเขาแล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งก่อสร้างดีไซน์โดดเด่นสไตล์นีโอก๊อธธิค ที่สวยงามราวกับบ้านในนิทาน ให้คุณได้ชื่นชมไม่รู้เบื่ออีกด้วย

เรื่องแปลกในอินเดีย ความรู้ที่คุณควรรู้

วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องแปลกในอินเดียกันน่ะครับ เผื่อใครที่สนใจในเรื่อง Inter Ad จะได้นำไปประยุกต์ใช้ หากสนใจการทำโฆษณาหรือการตลาดในอินเดีย ไม่ควรพลาดครับ ไปลุยกันเลย --->


ประเทศอินเดียที่มีประชากรจำนวนมาก
และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษนี้
แต่การเติบโตอย่างมากนี้ ตามมาด้วยความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ทุกประเภท
เกี่ยวข้องกับ การบริหาร, อาชญากรรม, วัฒนธรรม, การพาณิชย์ และอาการเจ็บป่วยทางสังคม
มักจะมีข่าวที่ได้ยินเป็นประจำเกี่ยวกับ รายงานภาวะไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ 
ใบมรณะบัตรแปลอม และการฆ่าตัวตายของเกษตรกร
เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความฟุ่ยเฟือย
การใช้ชีวิตแบบร่ำรวยที่แทบเป็นไปไม่ได้
มหาเศรษฐีสร้างตึกระฟ้าทั้งหมดและใช้ตึกนี้เป็นที่อยู่อาศัย
มหาเศรษฐี Mukesh Ambani สร้างอาคารขนาด 400,000 ตารางฟุต 27 ชั้น
ตั้งชื่อเรียกว่า Antilla ประมาณค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง
หนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณสามหมื่นล้านบาท สามสิบบาทต่อหนึ่งเหรียญสหรัฐ)
มีแต่เพียงครอบครัวและพนักงานในบริษัทของเขาพักอาศัยในบ้านของเขา
จ่ายเงินนับสิบล้านล้านเหรียญสหรัฐในธุรกิจงานแต่งงาน
ธุรกิจงานแต่งงานในอินเดียคาดกันว่าใช้เงินกันประมาณ
สิบเอ็ดพันล้านเหรียญสหรัฐ(สามรัอยสามสิบพันล้านบาท-(สามสิบบาทต่อหนึ่งเหรียญ)
ชาวอินเดียผู้มั่งคั่ง มีการใช้จ่ายเงินไม่ใช่แต่เพียงอาหาร
ยังรวมถึงการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง
แต่ยังเป็น "ของขวัญขอบคุณ" และการเชิญชวนแขกผู้มีเกียรติ
เมล็ดข้าวนับล้านตันที่จัดเก็บเน่าเสียหาย
ในขณะที่คนอีกหลายพันตายจากการขาดสารอาหาร
เมล็ดข้าวนับหกล้านตันของอินเดียเน่าเสียหาย
มีมูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
(สี่หมื่นห้าพันล้านบาท 30.บาท/1 เหรียญ)
ในขณะที่ร้อยละ 43 ของเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ
มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน
และมีเด็กจำนวน 3,000 คนตายในทุกวัน
ตามรายงานข่าวแจ้งมาว่า
มาจากอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการขาดสารอาหาร
เกษตรกรนับล้านคนฆ่าตัวตาย
เกษตรกรที่มีภาระหนี้มหาศาล
มีรายงานว่าฆ่าตัวตายตั้งแต่ปี 1995 มากกว่า 250,000 คน
เกษตรกรที่มีความมุ่งมั่นจะฆ่าตัวตาย
มีรายงานกล่าวหาว่า
มาจาก บริษัทต่างชาติหลายบริษัท เช่น Monsanto
ที่ขายเมล็ดพันธุ์ในราคาแพง
และการถูกบังคับให้ซื้อมาปลูกโดยรัฐบาลท้องถิ่น
ราคาพืชผลที่ต่ำพร้อมกับเก็บเกี่ยวที่ย่ำแย่
เป็นสาเหตุที่เกษตรกรคิดว่าการฆ่าตัวตาย
มันเป็นวิธีเดียวที่หลุดจากหนี้มหาศาลของพวกเขาได้
พ่อแม่เตรียมส่งมอบแรงงาน
จากเด็กทารกที่เกิดในช่วงเวลาที่เป็นมงคล
พ่อแม่ที่เชื่อโชคลางในอินเดียจะเป็นที่รู้จักกันดี
มีส่วนผ่าให้คลอดก่อนกำหนด
หรือมีการวางแผนล่วงหน้าว่าจะมีบุตรช่วงปีมงคล
ทำให้เกิดแรงงานในอนาคต (ที่วางแผนกำลังคนได้)
ด้วยเวลาที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นมงคล
ชาวฮินดูบางคนเชื่อว่าการเกิดในเวลาที่แน่นอน
จะส่งผลดีกับอนาคตของเด็ก
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้รับอนุญาตให้ยิงและฆ่าลอบล่าสัตว์
รัฐมหาราษฏร์ในภาคตะวันตก
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ยิงและลักลอบฆ่าสัตว์
ภายใต้การอนุมัติของผู้มีอำนาจ
โดยไม่ต้องกลัวการถูกฟ้องร้อง
การล่าสัตว์นำไปสู่สัตว์หลายชนิด
จะสูญพันธุ์และภัยคุกคามด้านอื่น ๆ อีกมากมาย
ข้ารัฐบาล-นักกิจกรรมที่ต่อต้านระบบข้าราชการมีการโอนย้ายไปทำงานที่แตกต่างกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะไม่มีใครต้องการให้เขาทำงานอยู่ข้าง ๆ พวกเขา
อินเดียมีระบบข้ารัฐบาลที่เลวร้ายที่สุดในเอเชีย
ตามรายงานข่าวจากฮ่องกง ที่เป็นที่ตั้งสำนักงาน
ที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
การสำรวจครั้งใหม่โดย KPMG
รายงานแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 71 ในการให้สินบน(ทุจริต)
เป็น "ค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทำธุรกิจในประเทศนี้ "
แม้แต่การรักษาทางการแพทย์ที่จำเป็นมาก
ยังต้องเผชิญกับระบบดังกล่าว
ข้ารัฐบาล-นักกิจกรรมรายหนึ่งที่ต่อต้านระบบรัฐบาล
ถูกย้ายจากงานหนึ่งไปยังอีกงานหนึ่งถึง 43 ครั้ง
เพราะไม่มีใครอยากให้เขาไปทำงานข้าง ๆ พวกเขา

คนถูกแจ้งตายแม้ว่ายังมีชีวิตอยู่
Santosh Kumar Singh
ต้องต่อสู้เป็นเวลานานถึงเก้าปี
เพื่อพิสูจน์ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
พี่น้องของเขาแจ้งความว่าเขาตายไปแล้ว
และฉ้อโกงด้วยการยักย้ายถ่ายเทที่ดินของเขา
หลังจากที่เขาแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาจากวรรณะต่ำ
ใบมรณะบัตรที่ผิดพลาดมีการออกบ่อยมาก
เพื่อทำการฉ้อโกงที่ดินของผู้ตาย


ใช้พริกเป็นอาวุธเคมี

กองทัพอินเดียทำการวิจัยที่จะเลือกพริกร้อนแรงที่สุดของโลก
 "bhut Jolokia" หรือ " ghost chili พริกผี" เป็นอาวุธ


ถูกจับข้อหากด Like บน Facebook
ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Shaheen Dhada ได้เขียนข้อความบน Facebook
เกี่ยวกับคำถาม Mumbai  "bandh" หรือ ตายซะได้ก็ดี
หลังจากการตายของนักการเมือง Bal Thackeray
ที่เป็นที่รู้จักกันดีถึงการใช้ในรูปแบบต่าง ๆ
ในการข่มขู่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง
เพื่อนของเธอเรณู Srinivasan  กด Like ใน Facebook
ทั้งสองคู่ถูกจับในข้อหากระทำผิด
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความเกรี้ยวกราดของประชาชน
เกี่ยวกับเสรีภาพในการสื่อสาร

ปลวกกัดกินธนบัตร
ปลวกกัดกินธนบัตรเป็นจำนวนเงินถึง 10 ล้านรูปี (222,000 $)
ที่ธนาคารรัฐแห่งอินเดีย สาขา Fathepur ในปีที่ผ่านมา


จ้างลิงไล่ลิง
ลิงที่ได้รับการฝึกแล้ว
เจ้าของจะได้รับการว่าจ้าง
ให้นำลิงมาขับไล่ลิงป่าจากระบบขนส่งสาธารณะ
รถไฟใต้ดินนิวเดลีได้ว่าจ้าง
เจ้าของลิงที่ฝึกแล้วหรือ langurwallah
เพื่อขับไล่ลิงป่าออกของพื้นที่รถไฟใต้ดิน
ลิงพวกนี้ยังมีการใช้งานในพื้นที่ของรัฐสภา
และสถานที่ราชการบางแห่งเพื่อขับไล่ลิงป่า


โฆษณาอาคารสำหรับพราหมณ์
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ในการแบ่งแยกชนชั้นบนพื้นฐานของสังคม
ตามความเชื่อศาสนา หรือเพศ
แต่นักพัฒนาที่ดินและนายหน้า
มักจะโฆษณาอพาร์ทเมนให้เช่า / ขาย
สำหรับกลุ่มศาสนาบางกลุ่มหรือบางวรรณะ


ขายของผิดกฎหมายแต่มีตราการค้าผสมขึ้นมาเอง
ร้านค้านี้จะขายรองเท้าแตะ ยี่ห้อไนกี้+พูม่า


รูปเทพเจ้าที่ผนังอาคารป้องกันคนเยี่ยวใส่
เกือบร้อยละ 50 ของประชากรของอินเดียไม่มีห้องน้ำที่บ้าน
การถ่ายปัสสวะกับการถ่ายอุจจาระของประชาชนจึงเป็นปัญหาใหญ่
นักเขียนคอลัมภ์ของ BBC  ชื่อ Rahul  Tandon
ได้เขียนเกี่ยวกับฝาผนังบ้านหรือกำแพงของบ้าน
ที่มีการเขียนภาพเทพเจ้าอินเดีย
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเยี่ยวใส่บนฝาผนังบ้าน
ภาพนี้นำมาจากภาพเขียนในรางวัลวรรณกรรม
Rohinton Mistry ในปี 1991
จากนวนิยาย "การเดินทางที่ยาวนานเช่นนั้น"

เด็กนับหมื่นทำงานในเหมืองถ่านหินอย่างผิดกฎหมาย

องค์กรไม่หวังผลกำไรของอินเดีย
เชื่อว่ามีเด็กเป็นคนงานเหมืองกว่า 70,000 คน
ทำงานอย่างผิดกฎหมายในเหมืองถ่านหิน
นี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของประเทศในเขตภูเขา Jaintia
พ่อแม่มักจะส่งบุตรหลานไปทำงานที่เหมืองแทนการไปโรงเรียน
เพราะพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งรายได้

ไฟฟ้าดับไปกว่าครึ่งประเทศ
ทำให้คนหลายร้อยล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้

ในเดือนกรกฎาคม อินเดียต้องเผชิญกับไฟฟ้าดับครั้งใหญ่
คนกว่า 600 ล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
ในบางรัฐที่ทำเกี่ยวกับทางการเกษตร
ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ไฟฟ้ากว่าเกินโควต้าที่ได้รับอนุญาต
ในช่วงปลายฤดูมรสุม(อากาศเลวร้ายและร้อนมาก)
อินเดียเผชิญหน้าบ่อยครั้งเกี่ยวกัยกระแสไฟฟ้าขัดข้อง
ในพื้นที่หลายแห่งงถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตในเรื่องนี้

วิเคราะห์ การใช้ดาราในการโฆษณา ในประเทศอินเดีย

สวัสดีครับ วันนี้ Admin มีความรู้ดีๆมาฝาก เกี่ยวกับการใช้ดาราในการโฆษณาของประเทศอินเดีย

พระเอก : ชาร์ รุกห์ ข่าน ทำให้รู้เลยว่าหนังฮอลลีวู๊ดจากอเมริกา ไม่สามารถทำรายได้ถล่มทลายได้ในอินเดีย ไม่ว่าหนังนั้นจะดังแค่ไหน ปัจจุบันผุ้คนอินเดียก็ยังนิยมชมชอบหนังบอลลีวูดที่ผลิดเองที่เมืองบอมเบย์ และชาวอินเดียก้ยังนิยมชมชอบในตัวดาราของเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย





ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นด้วยของวัฒนธรรมท้องถิ่นของเรา ซึ่งคนเราที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของเชื้อชาติแล้ว มักมีรสนิยมและความชอบที่ต่างกัน เพราะด้วยสังคมและปัจจัยอื่นร่วมด้วย และโดยส่วนใหญ่แล้วดาราผู้ชายจะดังกว่าดาราหญิงเพราะว่า อินเดียจะมีประชากรถึง ๑๒,๐๐๐ ล้านคน และเป็นผุ้หญิงมากกว่าผู้ชายก็ตาม มันเป็นเรื่องยากที่จะไปขอถ่ายภาพพวกเธอ เพราะสาวๆ อินเดียถือว่า การถ่ายภาพจากคนแปลกหน้า จะทำให้เธออายุสั้น น่าแปลกไหมครับที่สาวอินเดียคิดเช่นนั้น ต่างจากประเทศไทย ที่สาวๆมักชอบถ่ายรูป เป็นกล้องเป็นต้องวิ่งใส่ (5555+)


ผลงานโฆษณา Sharukh Khan Ad Lux 
โฆษณาสบู่ Lux ชุดนี้เป็นของประเทศอินเดียที่ใช้ Presentor ชาย ขายสบู่ผู้หญิง จะให้ได้แล้วใช่ไหมครับว่าโฆษณาอินเดียวต่างจากของไทยมากน้อยแค่ไหน สบู่ของผู้หญิงแต่ใช้ผู้ชายโฆษณา อันนี้เป็นผลมาจากความคลั่งไคล้และสังคมของอินเดีย เพราะ ประชากรผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย





มาดูดาราสาวนิยมจากฝ่ายหญิงกันบ้างครับ


อันดับ 10 : Neha Dhupia
 


อันดับ 9 : Priyanka Chopra
 


อันดับ 8 : Bipasha Basu
 


อันดับ 7 : Aishwaraya Rai
 


อันดับ 6 : Koena Mitra

 
อันดับ 5 : Freida Pinto (From Slumdog)
 

อันดับ 4 : Malika Sherawat

 
อันดับ 3 : Raiya Sen
 


อันดับ 2 : Deepika Padukone

 
อันดับ 1 : Padma Lakshmi


Padma Lakshmi 

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเมืองการปกครองของอินเดียปัจจุบัน


การเมืองการปกครองของอินเดียปัจจุบัน
การปกครองของอินเดียเป็นระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แยกศาสนาออกจากการเมือง แบ่งอำนาจการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (Secular Democratic Republic with a parliamentary system) แบ่งเป็น ๒๘ รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก ๗ เขต การปกครองของอินเดียมีรัฐธรรมนูญเป็นแม่บท มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และประมุขของฝ่ายบริหารตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการบริหารที่แท้จริงอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายประนาบ มุกเคอร์จี (Pranab Mukherjee) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ ๑๓ ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายมานโมฮัน ซิงห์ (Manmohan Singh) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เป็นสมัยที่ ๒)
อินเดียมีความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยจำนวนประชากรกว่า ๑.๒๒ พันล้านคน โดยมีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๑ ถึง ๗๐๐ ล้านคน ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สำคัญของการเมืองการปกครองของอินเดียนับตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจนถึงปัจจุบัน

การปกครองของส่วนกลาง
ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา (Parliament) อินเดีย เป็นระบบสภาคู่ (Bicameral) ประกอบด้วย
ราชยสภา (Rajya Sabha) หรือวุฒิสภา รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ราชยสภามีสมาชิก ไม่เกิน ๒๕๐ คน ปัจจุบันมีสมาชิก ๒๔๕ คน โดย ๑๒ คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทุกๆ ๒ ปี และอีก ๒๓๓ คน มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ (Legislative Assembly) หรือวิธานสภา เป็นผู้เลือก ถือเป็นผู้แทนของรัฐและดินแดนสหภาพ สมาชิกราชยสภามีวาระการทำงาน ๖ ปี โดยทุกสองปีจะมีการเลือกตั้งและแต่งตั้งสมาชิกราชยสภาจำนวน ๑ ใน ๓ ใหม่
รองประธานาธิบดีอินเดียเป็นประธานราชยสภาโดยตำแหน่ง ปัจจุบัน คือนาย Mohammad Hamid Ansari
โลกสภา (Lok Sabha) หรือสภาผู้แทนราษฎร โลกสภามีสมาชิกได้ไม่เกิน ๕๕๐ คน โดย ๕๔๓ คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง (๕๓๐ คน มาจากแต่ละรัฐ ๑๓ คน มาจากดินแดนสหภาพ) และอีกไม่เกิน ๒ คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดีจากชุมชนชาวผิวขาว (Anglo-Community) ในประเทศ สมาชิกโลกสภามีวาระคราวละ ๕ ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภา สมาชิกโลกสภามีวาระการทำงาน ๕ ปี
ปัจจุบัน นาง Meira Kumar จากพรรคคองเกรส ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานผู้หญิงคนแรก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒
การตรากฎหมายต่างๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภา
ระบบการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งสมาชิกราชยสภามีทั้งแบบมีผู้แทนได้หลายคนและแบบที่เขตเลือกตั้งมีผู้แทนได้คนเดียว เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐและดินแดนสหภาพ โดยใช้หลักการตัวแทนตามสัดส่วน หรือคะแนนสูงสุดหนึ่งเดียวแล้วแต่กรณี
อินเดียมีการเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาครั้งแรก ภายหลังได้รับเอกราช เมื่อปี ๒๔๙๕ และมีการประชุมโลกสภาครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๙๕ การเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาเป็นการเลือกตั้งทางตรงโดยใช้เกณฑ์เสียงข้างมากปกติ มีการแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมด ๕๔๓ เขต โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดียเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินงานด้วยความเป็นกลาง และสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐ การเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาครั้งล่าสุด คือเดือนเม.ย.-พ.ค. ๒๕๕๑ ซึ่งถือเป็นการจัดการเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 60 และมีวิธีจัดการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการใช้ทะเบียนรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีรูปถ่ายประกอบ ทั่วทั้งประเทศเป็นครั้งแรก ใน ๕๒๒ เขตเลือกตั้ง (จากทั้งหมด ๕๔๓ เขต โดยยกเว้นบางเขตในรัฐอัสสัม นาคาแลนด์ ชัมมูร์และแคชเมียร์) เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตในการปลอมแปลงบุคคลที่มีสิทธิลงคะแนนเสียง นอกจากนั้น มีการใช้เครื่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ (electronic voting machine) ทั่วประเทศ จำนวน ๑.๑ ล้านเครื่อง ทำให้สามารถทราบผลการเลือกตั้งทั่วประเทศได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง และใช้กำลังเจ้าหน้าที่พลเรือนทั้งหมด ๔ ล้านคน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ๒.๑ ล้านคน เพื่อดูแลรักษาความเรียบร้อยในการเลือกตั้ง
วาระการประชุมโลกสภา แบ่งเป็น 1) การประชุมพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ (Budget Session) ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2) การประชุมวาระฤดูฝน (Moonsoon Session) ระหว่างเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 3) การประชุมวาระฤดูหนาว (Winter Session) ระหว่างเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม
อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา
มีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย กำกับดูแลการบริหารประเทศของฝ่ายบริหาร ผ่านร่างงบประมาณ อภิปรายประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์แห่งชาติ หรือมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ แผนการพัฒนา นโยบายแห่งชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจหน้าที่ที่แตกต่างระหว่างโลกสภาและราชยสภา คือ โลกสภากำกับดูแลการบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรี และมีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการเงินและงบประมาณ ในขณะที่ราชยสภาไม่มีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการเงิน แต่มีอำนาจในการพิจารณากฎหมายอื่นๆ
โลกสภาและราชยสภามีคณะกรรมาธิการต่างๆ อยู่ภายใต้ โดยแบ่งคณะกรรมาธิการเป็นสองประเภท คือ Standing Committee และ ad hoc Committee คณะกรรมาธิการที่ถือว่ามีความสำคัญ คือ
Committee on Public Accounts มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงของรัฐสภา (เป็นคณะกรรมาธิการของราชยสภา)
Committee on Public Undertakings มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานของผู้ตรวจงบประมาณแผ่นดิน (เป็นคณะกรรมาธิการของราชยสภา)
Committee on Estimates มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (เป็นคณะกรรมาธิการของโลกสภา)
อนึ่ง ประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจเรียกประชุมสภา เลื่อนการประชุม กล่าวอภิปรายต่อสภา ยุบโลกสภา และประกาศกฎหมายได้ทุกเวลา ยกเว้นในระหว่างสมัยการประชุมของรัฐสภา และตามรัฐธรรมนูญ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสามารถเป็นสมาชิกของโลกสภาหรือราชยสภาก็ได้
ฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดี เป็นประมุขของรัฐ และเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Head of Executives of the Union) ซึ่งประกอบด้วยรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล (Council of Ministers) ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้งสองสภา รวมทั้งสภานิติบัญญัติของแต่ละรัฐ ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี และสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวาระที่สองได้ คุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ คือ ต้องมีสัญชาติอินเดีย มีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๕ ปี และเป็นสมาชิกโลกสภา
รองประธานาธิบดี ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้งสองสภา ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี และเป็นประธานราชยสภาโดยตำแหน่ง
นาย Hamid Ansari รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีต่ออีกหนึ่งสมัย เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ และทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕
นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีประกอบด้วย รัฐมนตรี (Ministers) รัฐมนตรีที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (Ministers of State - Independent Charge) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) คณะรัฐมนตรีรายงานโดยตรงต่อโลกสภา
รัฐบาลอินเดียชุดปัจจุบัน มีรัฐมนตรีว่าการ (Cabinet Ministers) ๓๓ คน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (Ministers of State with Independent Charge) ๗ คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) ๓๘ คน รวม ๗๘ คน
ฝ่ายตุลาการ
อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ปกป้องและตีความรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาประจำศาลฎีกา มีจำนวนไม่เกิน ๒๕ คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ในระดับรัฐ มีศาลสูง (High Court) ของตนเองเป็นศาลสูงสุดของแต่ละรัฐ รองลงมาเป็นศาลย่อย (Subordinate Courts) ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ อย่างไรก็ตาม อำนาจตุลาการของรัฐอยู่ภายใต้ศาลฎีกาซึ่งมีอำนาจสูงสุด

การปกครองระดับรัฐ
รัฐธรรมนูญอินเดียแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลาง (Government of India) และรัฐบาลมลรัฐ (State Government) อย่างชัดเจน รัฐบาลมลรัฐมีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของมลรัฐ
โครงสร้างของฝ่ายบริหารในแต่ละมลรัฐ ประกอบด้วย
ผู้ว่าการรัฐ (Governor) เป็นประมุขของรัฐ ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี (ตามข้อเสนอแนะของพรรคการเมืองที่เป็นพรรครัฐบาล) มีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งถอดถอนมุขมนตรีและคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ แต่งตั้งอัยการประจำรัฐ เรียกประชุมและยุบสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ให้ความเห็นชอบและยับยั้งร่างกฎหมายของรัฐ มีอำนาจลดโทษและให้อภัยโทษ
รัฐบาลแห่งรัฐ (State Government) ประกอบด้วยมุขมนตรี (Chief Minister) เป็นหัวหน้าและเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารภายในรัฐ และคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ (State Ministers) ทั้งนี้ รัฐบาลแห่งรัฐจะมาจากพรรคการเมืองที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งภายในรัฐ หรือได้รับการแต่งตั้งจากสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
สภานิติบัญญัติแห่งรัฐในรัฐพิหาร จัมมูร์แคชเมียร์ กรณาฏกะ มหาราษฏระ และอุตรประเทศ มีสองสภา คือ Legislative Council และ Legislative Assembly ในรัฐอื่นๆ ที่เหลือ มีเพียงสภาเดียว คือ Legislative Assembly
Legislative Council (ทำหน้าที่คล้ายราชยสภา) ) มีสมาชิกไม่มากกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิก Legislative Assembly และไม่น้อยกว่า ๔๐ คน สมาชิกหนึ่งในสามได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิก Legislative Assembly หนึ่งในสามมาจากผู้ดำรงตำแหน่งในองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หนึ่งในสิบสองเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในสถานศึกษาของรัฐ ที่เหลือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าการรัฐ
Legislative Assembly(ทำหน้าที่คล้ายโลกสภา) ) มีสมาชิกได้ไม่เกิน ๕๐๐ คน และไม่น้อยกว่า ๖๐ คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนตามการแบ่งเขตการเลือกตั้ง


อาคารรัฐสภาอินเดีย
ตึกอาคารรัฐสภาอินเดีย ถือเป็นสถานที่สำคัญของกรุงนิวเดลี ออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง คือ Sir Edwin Lutyens และ Sir Herbert Baker ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและวางผังเมืองกรุงนิวเดลี
มีพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๔ ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง ๖ ปี และมีพิธีเปิดอาคาร เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๔๗๐
ส่วนสำคัญของอาคารรัฐสภา คือ อาคารสภาผู้แทนราษฎร อาคารวุฒิสภา พิพิธภัณฑ์รัฐสภา และหอประชุมกลาง (Central Hall)

Central Hall
อาคารหอประชุมกลางเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่อังกฤษถ่ายโอนอำนาจให้แก่อินเดีย เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๙๐ และมีการนำรัฐธรรมนูญของอินเดียใส่กรอบประดับผนังห้องของอาคารแห่งนี้
ปัจจุบัน อาคารหอประชุมกลางใช้เป็นที่ประชุมสภาร่วม การประชุมครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป และการเปิดประชุมสมัยแรกของทุกปี จะกระทำที่อาคารนี้ โดยประธานาธิบดีจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาทั้งสอง