วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเมืองการปกครองของอินเดียปัจจุบัน


การเมืองการปกครองของอินเดียปัจจุบัน
การปกครองของอินเดียเป็นระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แยกศาสนาออกจากการเมือง แบ่งอำนาจการปกครองเป็นสาธารณรัฐ (Secular Democratic Republic with a parliamentary system) แบ่งเป็น ๒๘ รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก ๗ เขต การปกครองของอินเดียมีรัฐธรรมนูญเป็นแม่บท มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และประมุขของฝ่ายบริหารตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่อำนาจในการบริหารที่แท้จริงอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายประนาบ มุกเคอร์จี (Pranab Mukherjee) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ ๑๓ ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือนายมานโมฮัน ซิงห์ (Manmohan Singh) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เป็นสมัยที่ ๒)
อินเดียมีความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยจำนวนประชากรกว่า ๑.๒๒ พันล้านคน โดยมีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๑ ถึง ๗๐๐ ล้านคน ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สำคัญของการเมืองการปกครองของอินเดียนับตั้งแต่ได้รับเอกราชมาจนถึงปัจจุบัน

การปกครองของส่วนกลาง
ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา (Parliament) อินเดีย เป็นระบบสภาคู่ (Bicameral) ประกอบด้วย
ราชยสภา (Rajya Sabha) หรือวุฒิสภา รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ราชยสภามีสมาชิก ไม่เกิน ๒๕๐ คน ปัจจุบันมีสมาชิก ๒๔๕ คน โดย ๑๒ คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทุกๆ ๒ ปี และอีก ๒๓๓ คน มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ (Legislative Assembly) หรือวิธานสภา เป็นผู้เลือก ถือเป็นผู้แทนของรัฐและดินแดนสหภาพ สมาชิกราชยสภามีวาระการทำงาน ๖ ปี โดยทุกสองปีจะมีการเลือกตั้งและแต่งตั้งสมาชิกราชยสภาจำนวน ๑ ใน ๓ ใหม่
รองประธานาธิบดีอินเดียเป็นประธานราชยสภาโดยตำแหน่ง ปัจจุบัน คือนาย Mohammad Hamid Ansari
โลกสภา (Lok Sabha) หรือสภาผู้แทนราษฎร โลกสภามีสมาชิกได้ไม่เกิน ๕๕๐ คน โดย ๕๔๓ คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง (๕๓๐ คน มาจากแต่ละรัฐ ๑๓ คน มาจากดินแดนสหภาพ) และอีกไม่เกิน ๒ คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดีจากชุมชนชาวผิวขาว (Anglo-Community) ในประเทศ สมาชิกโลกสภามีวาระคราวละ ๕ ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภา สมาชิกโลกสภามีวาระการทำงาน ๕ ปี
ปัจจุบัน นาง Meira Kumar จากพรรคคองเกรส ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานผู้หญิงคนแรก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๒
การตรากฎหมายต่างๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภา
ระบบการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งสมาชิกราชยสภามีทั้งแบบมีผู้แทนได้หลายคนและแบบที่เขตเลือกตั้งมีผู้แทนได้คนเดียว เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐและดินแดนสหภาพ โดยใช้หลักการตัวแทนตามสัดส่วน หรือคะแนนสูงสุดหนึ่งเดียวแล้วแต่กรณี
อินเดียมีการเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาครั้งแรก ภายหลังได้รับเอกราช เมื่อปี ๒๔๙๕ และมีการประชุมโลกสภาครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๙๕ การเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาเป็นการเลือกตั้งทางตรงโดยใช้เกณฑ์เสียงข้างมากปกติ มีการแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมด ๕๔๓ เขต โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้งของอินเดียเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องการจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินงานด้วยความเป็นกลาง และสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐ การเลือกตั้งสมาชิกโลกสภาครั้งล่าสุด คือเดือนเม.ย.-พ.ค. ๒๕๕๑ ซึ่งถือเป็นการจัดการเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 60 และมีวิธีจัดการเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการใช้ทะเบียนรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีรูปถ่ายประกอบ ทั่วทั้งประเทศเป็นครั้งแรก ใน ๕๒๒ เขตเลือกตั้ง (จากทั้งหมด ๕๔๓ เขต โดยยกเว้นบางเขตในรัฐอัสสัม นาคาแลนด์ ชัมมูร์และแคชเมียร์) เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตในการปลอมแปลงบุคคลที่มีสิทธิลงคะแนนเสียง นอกจากนั้น มีการใช้เครื่องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอิเล็กทรอนิกส์ (electronic voting machine) ทั่วประเทศ จำนวน ๑.๑ ล้านเครื่อง ทำให้สามารถทราบผลการเลือกตั้งทั่วประเทศได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง และใช้กำลังเจ้าหน้าที่พลเรือนทั้งหมด ๔ ล้านคน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ๒.๑ ล้านคน เพื่อดูแลรักษาความเรียบร้อยในการเลือกตั้ง
วาระการประชุมโลกสภา แบ่งเป็น 1) การประชุมพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ (Budget Session) ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2) การประชุมวาระฤดูฝน (Moonsoon Session) ระหว่างเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 3) การประชุมวาระฤดูหนาว (Winter Session) ระหว่างเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม
อำนาจหน้าที่ของรัฐสภา
มีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย กำกับดูแลการบริหารประเทศของฝ่ายบริหาร ผ่านร่างงบประมาณ อภิปรายประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์แห่งชาติ หรือมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ แผนการพัฒนา นโยบายแห่งชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจหน้าที่ที่แตกต่างระหว่างโลกสภาและราชยสภา คือ โลกสภากำกับดูแลการบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรี และมีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการเงินและงบประมาณ ในขณะที่ราชยสภาไม่มีอำนาจในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการเงิน แต่มีอำนาจในการพิจารณากฎหมายอื่นๆ
โลกสภาและราชยสภามีคณะกรรมาธิการต่างๆ อยู่ภายใต้ โดยแบ่งคณะกรรมาธิการเป็นสองประเภท คือ Standing Committee และ ad hoc Committee คณะกรรมาธิการที่ถือว่ามีความสำคัญ คือ
Committee on Public Accounts มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงของรัฐสภา (เป็นคณะกรรมาธิการของราชยสภา)
Committee on Public Undertakings มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานของผู้ตรวจงบประมาณแผ่นดิน (เป็นคณะกรรมาธิการของราชยสภา)
Committee on Estimates มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (เป็นคณะกรรมาธิการของโลกสภา)
อนึ่ง ประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจเรียกประชุมสภา เลื่อนการประชุม กล่าวอภิปรายต่อสภา ยุบโลกสภา และประกาศกฎหมายได้ทุกเวลา ยกเว้นในระหว่างสมัยการประชุมของรัฐสภา และตามรัฐธรรมนูญ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสามารถเป็นสมาชิกของโลกสภาหรือราชยสภาก็ได้
ฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดี เป็นประมุขของรัฐ และเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Head of Executives of the Union) ซึ่งประกอบด้วยรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล (Council of Ministers) ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้งสองสภา รวมทั้งสภานิติบัญญัติของแต่ละรัฐ ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี และสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวาระที่สองได้ คุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ คือ ต้องมีสัญชาติอินเดีย มีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๕ ปี และเป็นสมาชิกโลกสภา
รองประธานาธิบดี ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้งสองสภา ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี และเป็นประธานราชยสภาโดยตำแหน่ง
นาย Hamid Ansari รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีต่ออีกหนึ่งสมัย เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ และทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๕
นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีประกอบด้วย รัฐมนตรี (Ministers) รัฐมนตรีที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (Ministers of State - Independent Charge) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) คณะรัฐมนตรีรายงานโดยตรงต่อโลกสภา
รัฐบาลอินเดียชุดปัจจุบัน มีรัฐมนตรีว่าการ (Cabinet Ministers) ๓๓ คน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (Ministers of State with Independent Charge) ๗ คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) ๓๘ คน รวม ๗๘ คน
ฝ่ายตุลาการ
อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ปกป้องและตีความรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาประจำศาลฎีกา มีจำนวนไม่เกิน ๒๕ คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ในระดับรัฐ มีศาลสูง (High Court) ของตนเองเป็นศาลสูงสุดของแต่ละรัฐ รองลงมาเป็นศาลย่อย (Subordinate Courts) ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ อย่างไรก็ตาม อำนาจตุลาการของรัฐอยู่ภายใต้ศาลฎีกาซึ่งมีอำนาจสูงสุด

การปกครองระดับรัฐ
รัฐธรรมนูญอินเดียแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลาง (Government of India) และรัฐบาลมลรัฐ (State Government) อย่างชัดเจน รัฐบาลมลรัฐมีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของมลรัฐ
โครงสร้างของฝ่ายบริหารในแต่ละมลรัฐ ประกอบด้วย
ผู้ว่าการรัฐ (Governor) เป็นประมุขของรัฐ ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี (ตามข้อเสนอแนะของพรรคการเมืองที่เป็นพรรครัฐบาล) มีอำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งถอดถอนมุขมนตรีและคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ แต่งตั้งอัยการประจำรัฐ เรียกประชุมและยุบสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ให้ความเห็นชอบและยับยั้งร่างกฎหมายของรัฐ มีอำนาจลดโทษและให้อภัยโทษ
รัฐบาลแห่งรัฐ (State Government) ประกอบด้วยมุขมนตรี (Chief Minister) เป็นหัวหน้าและเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารภายในรัฐ และคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ (State Ministers) ทั้งนี้ รัฐบาลแห่งรัฐจะมาจากพรรคการเมืองที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งภายในรัฐ หรือได้รับการแต่งตั้งจากสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
สภานิติบัญญัติแห่งรัฐในรัฐพิหาร จัมมูร์แคชเมียร์ กรณาฏกะ มหาราษฏระ และอุตรประเทศ มีสองสภา คือ Legislative Council และ Legislative Assembly ในรัฐอื่นๆ ที่เหลือ มีเพียงสภาเดียว คือ Legislative Assembly
Legislative Council (ทำหน้าที่คล้ายราชยสภา) ) มีสมาชิกไม่มากกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิก Legislative Assembly และไม่น้อยกว่า ๔๐ คน สมาชิกหนึ่งในสามได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิก Legislative Assembly หนึ่งในสามมาจากผู้ดำรงตำแหน่งในองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หนึ่งในสิบสองเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในสถานศึกษาของรัฐ ที่เหลือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ว่าการรัฐ
Legislative Assembly(ทำหน้าที่คล้ายโลกสภา) ) มีสมาชิกได้ไม่เกิน ๕๐๐ คน และไม่น้อยกว่า ๖๐ คน ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนตามการแบ่งเขตการเลือกตั้ง


อาคารรัฐสภาอินเดีย
ตึกอาคารรัฐสภาอินเดีย ถือเป็นสถานที่สำคัญของกรุงนิวเดลี ออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง คือ Sir Edwin Lutyens และ Sir Herbert Baker ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและวางผังเมืองกรุงนิวเดลี
มีพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๔ ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง ๖ ปี และมีพิธีเปิดอาคาร เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๔๗๐
ส่วนสำคัญของอาคารรัฐสภา คือ อาคารสภาผู้แทนราษฎร อาคารวุฒิสภา พิพิธภัณฑ์รัฐสภา และหอประชุมกลาง (Central Hall)

Central Hall
อาคารหอประชุมกลางเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่อังกฤษถ่ายโอนอำนาจให้แก่อินเดีย เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๙๐ และมีการนำรัฐธรรมนูญของอินเดียใส่กรอบประดับผนังห้องของอาคารแห่งนี้
ปัจจุบัน อาคารหอประชุมกลางใช้เป็นที่ประชุมสภาร่วม การประชุมครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป และการเปิดประชุมสมัยแรกของทุกปี จะกระทำที่อาคารนี้ โดยประธานาธิบดีจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาทั้งสอง

อินเดียจากกำเนิดพุทธศาสนาถึงการปลดปล่อยอาณานิคม


อินเดีย : จากกำเนิดพุทธศาสนาถึงการปลดปล่อยอาณานิคม
อินเดียจากสารานุกรมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน (๒)
ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
การเกิดขึ้นของพุทธศาสนา

       เมื่ออารยธรรมอารยันเจริญรุ่งเรืองบนแผ่นดินอินเดียมาได้ประมาณ 1,000 กว่าปี พัฒนาการในเชิงการเปลี่ยนแปลง ได้ปรากฏชัดเจนในลักษณะปฏิพัฒนา (Dialectics - วิภาษวิธี) นั่นคือ มีการนำเสนอแล้วมีการโต้ตอบ ที่สุดก็นำไปสู่การได้ข้อสรุปใหม่ (Thesis, Anti-thesis, Synthesis) ด้วยการปรับปรุงข้อสรุปเก่าให้เหมาะสมยิ่งขึ้น กระแสความคิดหลักของพวกพราหมณ์ที่เป็นชนชั้นนำในสังคมอารยัน ได้ถูกโต้ตอบจากคนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม
      
       เมื่อมาถึงยุคที่สุดแห่งพระเวท (ยุคเวทันต) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ยุคอุปนิษัท คือ ยุคที่ศิษย์แสวงหาครูแล้วมอบตัวเป็นศิษย์ ด้วยการเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ครู (อุปนิษัท แปลว่า เข้าไปนั่งใกล้) ปฏิกิริยาโต้ตอบกับผู้นำทางสติปัญญาคือ พราหมณ์ นั้น ได้ปรากฏชัดเมื่อบุคคลกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่พราหมณ์ แต่เสนอตัวเองมาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางสติปัญญาเช่นเดียวกับพราหมณ์ บุคคลเหล่านี้รู้จักกันในชื่อว่า "สมณะ"
 
     สมณะ (แปลว่าผู้สงบ) นั้น เป็นใคร จากวรรณะใดก็ได้ ความสำคัญของสมณะไม่ได้อยู่ที่วรรณะ หรือโคตรสกุล แต่อยู่ที่ "ความรู้" สมณะผู้ได้รับการยอมรับจากสังคม เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อถือในชาติกำเนิดเริ่มอ่อนด้อยลง เพราะมีข้อเสนอโต้ตอบเรื่องความรู้ ความสามารถ ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ อันมิใช่ข้อกำหนดจากเทพเจ้า
      การปรากฏขึ้นของสมณะในสังคมอินเดีย เป็นหลักฐานยืนยันว่า กระบวนการโต้ตอบกับพราหมณ์ประสบความสำเร็จ และตัวอย่างอธิบายความสำเร็จนี้ได้ชัดเจนที่สุด คือ การเกิดขึ้นของพุทธศาสนา ภาพแห่งความสำเร็จของพุทธศาสนา ไม่ใช่เป็นภาพของความสำเร็จที่เป็นปัจเจกบุคคล หากแต่เป็นภาพแสดงความสำเร็จที่เป็นชุมชน สังคม ที่เรียกว่า "สงฆ์"
      ความสำเร็จนี้ ทำความเข้าใจได้ผ่านบทบาทของพระสมณโคดม ที่มาจากศากยสกุล วรรณกษัตริย์ แต่ได้ละทิ้งภาระกิจหน้าที่ตามข้อกำหนดโดยวรรณะ ที่จะต้องแสวงหาอำนาจทางการปกครอง แต่มาแสวงหาความรู้ความเข้าใจโลกและชีวิตใหม่ นอกไปจากชุดความรู้ที่พวกพราหมณ์สร้างไว้ เมื่อพระสมณโคดมค้นพบคำอธิบายชุดใหม่ ที่อยู่นอกกรอบคำอธิบายของพวก พรามณ์ พระองค์ได้ประกาศคำอธิบายชุดใหม่นั้นให้ผู้อื่นได้รับรู้ และทำให้ผู้ที่ได้รับรู้นั้นเข้าใจว่า ชีวิตตามความหมายที่พระองค์ทรงค้นพบนั้น มีเป้าหมายอยู่ที่ไหน และเข้าถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร
 
      ด้วยพลังแห่งความรู้ที่พระสมณโคดมมีอยู่ ทำให้ตัวท่านเองถูกเรียกขานกันในชื่อว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ผู้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองโดยชอบ) และคำอธิบายความหมายและคุณค่าต่าง ๆ ของพระองค์ ถูกรู้จักกันในชื่อว่า พุทธศาสนา (คำสอนของผู้รู้)
อุบัติการณ์แห่งพุทธศาสนาที่เป็นชุดคำอธิบายความหมายและคุณค่าต่าง ๆ ในสังคมใหม่ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งในเชิงโครงสร้าง สังคม และในเชิงคตินิยม สังคมอินเดีย ที่ถูกกำหนดทิศทางด้วยความคิดของพวกพราหมณ์ ผ่านความเชื่อในคัมภีร์พระเวท ได้ถูกโต้แย้งอย่างมีพลังจากพุทธศาสนา
      - พราหมณ์สอนเรื่อง "อาตมัน" ว่า เป็นตัวตนที่ถาวร อมตนิรันดร์
      - พุทธศาสนาสอนเรื่อง "อนัตตา" (อนาตมัน) ว่า คนเราไม่มีตัวตนที่ถาวรตายตัว- พราหมณ์สอนเรื่อง "พรหมัน" ว่า เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เป็นเป้าหมายที่มนุษย์เราจะบรรลุถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเทพเจ้า
      - แต่พุทธศาสนาสอนเรื่อง "นิพพาน" ว่า เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต เป็นเป้าหมายแห่งความดับลง ซึ่งอุปทานในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ว่าเป็นตัวเรา หรือของๆ เรา- พราหมณ์สอนให้เชื่อในอำนาจขององค์เทพเจ้าผู้ลิขิตชะตาชีวิตของมนุษย์
      - แต่พุทธศาสนาสอนให้เชื่อมั่นในการกระทำของมนุษย์เอง ที่ไม่มีอำนาจของเทพเจ้าองค์ใดมาแทรกแซงได้
      ความเชื่อและคำอธิบายอันเป็นรากฐานนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อคำอธิบายปลีกย่อยเกี่ยวกับชีวิตและสังคม รวมถึงกระทบต่อโครงสร้างสังคม ที่ถูกกำหนดไว้ด้วยระบบความเชื่อตามชุดคำอธิบายจากคัมภีร์พระเวท โครงสร้างสังคมที่ถูกกำหนดไว้ด้วยระบบวรรณะได้คลายออก เกิดการกำหนดใหม่ด้วยระบบคุณค่าจากการกระทำ
 
     คำอธิบายความเป็นไปต่าง ๆ ในชีวิตที่เคยอธิบายด้วยเทวลิขิต ก็เปลี่ยนมาเป็นการทำความเข้าใจจากเหตุปัจจัยในทางสังคม ความตายตัวในรูปแบบและจารีตที่เคยถูกกำหนดด้วยความเชื่อในข้อกำหนดจากสวรรค์ ก็คลี่คลายมาเป็นการอธิบายด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลที่เป็นประจักษ์ ตัวอย่างเรื่องนี้เช่น เรื่องสถานภาพของสตรี วัฒนธรรมในการรับประทานอาหาร เป็นต้น
 
สถานภาพของสตรีตามความเชื่อโบราณ
      สถานภาพของสตรีนั้นเป็นผลมาจากการต่อสู้ทางวัฒนธรรม ระหว่างชาวอารยันที่กำหนดสายสัมพันธ์ทางโลหิตผ่านผู้ชาย ขณะที่ทราวิฑ (ดราวิเดียน หรือ มิลักข) นั้น กำหนดสายสัมพันธ์ผ่านผู้หญิง ความแตกต่างเชิงวัฒนธรรมนี้ โยงไปสู่ระบบความเชื่อทางศาสนาที่ถูกสร้างขึ้นจากฐานทางวัฒนธรรม พวกอารยันนั้น นับถือเทพเจ้าที่สถิตอยู่บนฟ้า และเมื่อพวกอารยันยกย่องให้ผู้ชายเป็นใหญ่ เทพเจ้าของอารยันจึงเป็นเทพผู้ชาย เช่น สุริยเทพ ขณะที่พวกทราวิฑนั้นเคารพ แผ่นดิน, แม่น้ำ ดังนั้น เทพเจ้าของทราวิฑจึงเป็นผู้หญิงตามคติของเผ่าชน เทพเจ้าประจำแผ่นดินจึงเป็นพระแม่ธรณี เทพเจ้าประจำแม่น้ำ คือ พระแม่คงคา เป็นต้น
 
      ด้วยความแตกต่างกันทางจารีตวัฒนธรรมเช่นนี้ เมื่อต้องมาต่อสู้กัน ความเป็นหญิง เป็นชาย จึงกลายมาเป็นเดิมพันกันทางสงครามวัฒนธรรม และเมื่อพวกอารยันมีชัยเหนือพวกทราวิฑ ความเป็นชายก็มีชัยเหนือความเป็นหญิง เทพเจ้าสูงสุดเป็นเทพเจ้า(ชาย) ส่วนพระแม่เจ้า(หญิง) ก็ถูกลดลงมาเหลือเพียงแต่ "ศักติ" (ชายา) ของมหาเทพเท่านั้น และนี่ ก็ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงสังคมด้วย เมื่อวัฒนธรรมอารยันเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของอินเดีย ผู้ชายจึงเป็นใหญ่ ส่วนผู้หญิงมีสถานภาพเป็นเพียงแค่สมบัติของผู้ชาย ดังเช่นที่กล่าวไว้ในคัมภีร์มนูธรรมศาสตร์ว่า ผู้หญิงเมื่อเป็นเด็กเป็นสมบัติของพ่อ เมื่อโตแต่งงานแล้วเป็นสมบัติของสามี และเมื่อแก่ตัวลงเป็นสมบัติของลูกชาย
      วัฒนธรรมไทยที่รับมาจากอินเดียก็ยังมีร่องรอยนี้อยู่ เช่น สังคมไทยเรียกผู้ชายที่แต่งงานว่าเป็น "สามี"ของสตรีที่เป็นคู่สมรส คำว่า"สามี"ซึ่งมีความหมาย หรือแปลว่า เจ้าของ นั่นคือเมื่อคุณสมชายเป็นสามีคุณสมหญิง ก็หมายความว่า คุณสมชายเป็นเจ้าของคุณสมหญิง นั่นเอง
      ด้วยความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นหญิงเป็นชายในยุคพระเวท ที่ถูกกำหนดโดยวัฒนธรรมอารยัน ผู้หญิง จึงไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ และสติปัญญาของสังคมได้ นักบวชผู้หญิงจึงไม่มีในสังคมอินเดียช่วงยุคพระเวท แต่เมื่อเกิดพุทธศาสนาขึ้น กระบวนการโต้ตอบกับระบบความเชื่อแบบพราหมณ์ก็ปรากฏชัดเจน และในที่สุดก็เกิดนักบวชหญิง คือ ภิกษุณี ขึ้นในชุมชนของชาวพุทธ
 
วัฒนธรรมการบริโภคอาหารตามความเชื่อโบราณ 
       วัฒนธรรมการบริโภคอาหาร ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่อธิบายสถานการณ์ทางสังคมของอินเดียได้ดี สังคมอารยันนั้นเป็นสังคมที่เร่ร่อนผจญภัย การเลี้ยงสัตว์ เป็นการเลี้ยงไว้เพื่อเป็นยุทธปัจจัยและเป็นพาหนะ หรือถ้าจะเป็นอาหารได้ก็เพียงแค่น้ำนมของสัตว์ที่เลี้ยง การฆ่าสัตว์เลี้ยงเป็นอาหารจึงเป็นข้อห้ามทางจารีตประเพณีของชาวอารยันที่เดินทางเข้ามาสู่อินเดีย อาหารหลักของอารยันจึงเป็นพืช
       ขณะที่พวกทราวิฑนั้นเป็นชุมชนหรือสังคมที่อยู่กับที่ ไม่เคลื่อนย้าย มีอาชีพทำการเกษตรและปศุสัตว์ สัตว์ที่เลี้ยงไว้นั้น เป็นการเลี้ยงไว้เพื่อใช้แรงงานและเป็นอาหารด้วย พวกทราวิฑจึงรับประทานเนื้อสัตว์เป็นอาหาร แต่เมื่อวัฒนธรรม 2 สายนี้ต้องมาปะทะกัน สงครามทางวัฒนธรรมก็เกิดขึ้น สุดท้ายเมื่อวัฒนธรรมอารยันมีชัยเหนือวัฒนธรรมทราวิฑ การบริโภคเนื้อสัตว์จึงกลายเป็นความชั่ว-บาป และเป็นการบริโภคของคนชั้นต่ำ ที่คนชั้นสูงคือ พวกอารยัน รู้สึกชิงชังรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
       พุทธศาสนาไม่เห็นด้วยกับจารีตวัฒนธรรมกระแสหลักที่พวกอารยันกำหนดจึงอนุญาตให้นักบวชในพุทธศาสนาบริโภคเนื้อสัตว์ได้ ด้วยข้ออ้างว่า เพื่อการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายเป็นไปอย่างสอดคล้องกับคนทุกระดับชั้น นั่นคือ จะบริโภคมังสวิรัติก็ได้ จะบริโภคมังสะก็ได้ ทั้งนี้ไม่ใช่เอาตัวนักบวชเป็นที่ตั้ง หากแต่เอาชุมชนเป็นตัวกำหนด
      ประเด็นเรื่องการรับประทานอาหารมีเนื้อหรือไม่มีเนื้อนี้ ถูกโต้ตอบกลับด้วยข้ออ้างเรื่องเมตตาธรรมจากพวกพราหมณ์ แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นข้ออ้างเชิงปัจเจกบุคคล ซึ่งพุทธศาสนาในยุคนั้นพยายามยืนยันหลักชุมชน และเคารพวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน และหลักเมตตาธรรมของพุทธเป็นสภาวธรรมในมิติทางสังคม มากกว่าจะเป็นการครุ่นคิดเชิงปัจเจก
      นอกจากแง่มุมเชิงวัฒนธรรม ในมิติของความหมายและคุณค่าของชีวิตเป็นรายย่อยแล้ว กระบวนการโต้ตอบกับกระแสความคิดของพวกพราหมณ์ยังมีผลกระทบในมิติความหมายของสังคม ดังเช่นกรณีโครงสร้างสังคมที่ก่อนหน้าพุทธศาสนา ศูนย์กลางอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่พวกพราหมณ์ แต่หลังจากการเกิดขึ้นของพุทธศาสนาแล้ว อำนาจของสังคมก็เคลื่อนย้ายไปสู่พวกกษัตริย์นักปกครอง แม้กระทั่งการเอ่ยชื่อวรรณะที่กล่าวเป็นลำดับว่า พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร กลายมาเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ที่ความสำคัญเปลี่ยนไปเช่นนี้ เป็นข้อยืนยันได้อย่างดีก็คือ นับจากยุคพุทธศาสนามาแล้ว กระบวนการบันทึกความเป็นอินเดีย ก็เปลี่ยนแปลงจากที่เคยบันทึกไว้ตามหลักการศาสนา กลายมาเป็นบันทึกไว้จากหลักการปกครองของพวกนักปกครอง
 
จากศาสนาสู่การปกครอง (ยุคฮินดู)
       ก่อนการเกิดขึ้นของพุทธศาสนา ศูนย์กลางการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงทางสังคมของอินเดีย รวมศูนย์อยู่ที่ศาสนา วัดหรือศาสนสถาน เป็นศูนย์กลางของสังคมอินเดีย แต่ภายหลังการเกิดขึ้นของพุทธศาสนาแล้วปรากฏว่า ศูนย์กลางของสังคมได้เปลี่ยนไปจากวัดทางศาสนา สู่วังของกษัตริย์ผู้ปกครอง
       ความชัดเจนในเรื่องนี้ปรากฏชัด นับจากการปกครองของราชวงศ์เมารยะเป็นต้นมา โดยเฉพาะพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์เมาริยะ เป็นหลักฐานยืนยันว่า ทิศทางของอินเดียถูกกำหนดโดยนักปกครอง ไม่ใช่นักบวชอย่างในอดีตที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า แม้อำนาจจะอยู่ที่นักปกครอง แต่นักปกครองอินเดียในช่วงนั้น ก็ถูกกำหนดโดยลัทธิความเชื่อทางศาสนาอีกทอดหนึ่ง ดังกรณีของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่เป็นนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่ แต่ทิศทางในการปกครองก็ถูกกำหนดด้วยความเชื่อในพุทธศาสนา
      แล้วความแตกต่างอยู่ตรงไหน ความแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า นักปกครองต้องเลือกว่าจะใช้ระบบความเชื่อแบบใดมาเป็นหลักในการปกครอง นักศาสนาเป็นผู้ผลิตระบบความเชื่อเสนอต่อสังคม และสังคมต้องครุ่นคิดพิจารณาว่า จะเสนอชุดความเชื่อแบบใดออกไป เพราะผู้ที่นำระบบความเชื่อนั้นไปใช้ ก็ต้องตระหนักในผลที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามระบบความเชื่อนั้นอีกทอดหนึ่ง กรณีของพุทธศาสนากับพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นกรณีตัวอย่างที่ดีในการอธิบายความหมายเชิงปฏิบัติของนักบวชและนักปกครอง
 
      การเกิดขึ้นของราชวงศ์คุปตะในทางภาคเหนือของอินเดีย และราชวงศ์ปัลวะทางภาคใต้ เป็นปรากฏการณ์ในอดีต ที่สามารถอธิบายความหมายแห่งความเป็นอินเดีย ที่เป็นไปภายใต้การกำหนดทิศทางของนักปกครองได้อย่างชัดเจน นักปกครอง ไม่ใช่ศาสดาผู้ซึ่งผลิตความเชื่อและคำอธิบายความหมายของชีวิตและโลก แต่เป็นนักปฏิบัติที่สามารถจะเลือกเอาความเชื่อและคำอธิบายชุดใดมาใช้ก็ได้ เป้าหมายของนักปกครองอยู่ที่ผลของการใช้ความเชื่อหรือคำอธิบายชุดใดก็ได้ ขอเพียงแต่ให้เกิดผลคือ สันติสุขของประชาราษฎร์
      อินเดียภายใต้การกำหนดทิศทางของนักปกครอง (พระราชา) จึงเป็นอินเดียที่เกิดกระแสการสังเคราะห์ระบบความเชื่อที่ถูกผลิตขึ้นภายในสังคมอินเดีย ให้เป็นระบบความเชื่อที่มีความหลากหลาย แต่เป็นไปเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือ สันติสุขของอาณาประชาราษฎร์ และระบบความเชื่อที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นใหม่นี้ รู้จักในชื่อว่า "ฮินดู" ฮินดู เป็นวิถีแห่งชีวิตของชาวอินเดีย ที่ถูกประดับประดาตกแต่งให้งดงามอลังการณ์ด้วยจินตนาการแห่งชีวิตและโลก
 
การเข้ามาของศาสนาอิสลาม
       ความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงของอินเดีย นับจากการเกิดขึ้นของอารยธรรมพระเวทเป็นต้นมา มีความเปลี่ยนแปลงและพัฒนามาโดยตลอด และการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงจากปฏิกิริยาโต้ตอบกันเองภายใน เช่น การเปลี่ยนแปลงทิศทางของสังคมจากที่เคยกำหนดโดยนักบวชมาเป็นนักปกครอง แม้ว่าบางช่วงจะมีอำนาจจากภายนอกเข้ามาสู่อินเดีย แต่พลังอำนาจนั้นก็ถูกพลังจากภายในของอินเดียบดทับดูดกลืน จนอำนาจนั้น ๆ กลายเป็นเพียงแค่ปัจจัยทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น หาได้เป็นอำนาจกำหนดทิศทางแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคมอินเดียไม่
       ดังเช่นกรณีการเข้ามาของกรีก โดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ในช่วงหลังพุทธกาล 200 กว่าปี ซึ่งในที่สุดแล้ว อำนาจความรู้ความคิดแบบกรีก ก็ได้กลายมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์ประกอบการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการของอินเดียเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงจากภายนอกที่เปลี่ยนโฉมหน้าของอินเดียได้อย่างชัดเจน และเป็นการเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางได้นั้น คือ การเข้ามาของกษัตริย์มุสลิม
       ความรุ่งเรืองของศาสนาอิสลามที่มีศูนย์กลางอยู่ในตะวันออกกลาง ได้แผ่ขยายมาถึงอินเดียเมื่อตอนต้นคริสตศตวรรษที่ 11 ขณะนั้น ประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งอยู่ใกล้ชิดติดอินเดียได้กลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของนักปกครองมุสลิมคือ สุลต่านมะห์มุด แห่งฆอชนี และท่านสุลต่านผู้นี้เอง ที่ได้นำกองทัพมุสลิมบุกเข้ายึดแคว้นปัญจาบของอินเดียไว้ได้ และเหตุการณ์นั้นเปรียบเสมือนกับการทะลุผ่านกำแพงอินเดียได้แล้ว เพราะหลังจากที่ปัญจาบเริ่มตกอยู่ภายใต้การปกครองของนักปกครองมุสลิม ก็ไม่ยากที่นักปกครองมุสลิมคนอื่นจะเข้ามาสู่อินเดียภายในได้
       ในตอนปลายคริสตศตวรรษที่ 12 สุลต่านมูฮัมมัด ฆูรี ซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศอัฟกานิสถาน ก็ได้ขยายเขตปกครองของมุสลิม จากปัญจาบลงไปถึงเบงกอล หลังจากนั้น นักปกครองชาวมุสลิมก็ได้สถาปนากรุงเดลี ให้เป็นศูนย์กลางแห่งการปกครองของชาวมุสลิม
 
ราชวงศ์โมกุล 
       การปกครองอินเดียโดยนักปกครองมุสลิมก้าวมาถึงจุดรุ่งเรืองสูงสุด เมื่อกษัตริย์บาบาร์ เชื้อสายมองโกลเข้ามายึดกรุงเดลีได้ ในปี ค.ศ. 1526 แล้วสถาปนาราชวงศ์โมกุลขึ้น และกษัตริย์ในราชวงศ์โมกุล นี้ก็ได้เป็นเจ้าผู้ปกครองอินเดียยาวนานถึง 250 ปี นานเพียงพอที่จะทำให้ความเป็นอินเดียที่ถูกปรุงแต่งด้วยระบบความคิด ความเชื่อ ที่ผลิตขึ้นโดยชาวอินเดียมาอย่างยาวนาน ถูกระบบความเชื่อจากต่างวัฒนธรรม เข้ามามีส่วนผสมในการปรุงแต่งความเป็นอินเดีย ทั้งในส่วนจิตสำนึกของบุคคล และในส่วนโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรมของอินเดีย
       ในยุคสมัยของราชวงศ์โมกุลนี้เอง ที่วัฒนธรรมเปอร์เซียได้เข้ามาผสมกับวัฒนธรรมอินเดีย แล้วกลายมาเป็นรูปแบบทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน งานศิลปกรรมเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความเป็นอินเดีย ที่ผสมผสานระหว่างอินเดียกับเปอร์เซียเข้าด้วยกัน จนแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นอินเดีย อันไหนเป็นเปอร์เซีย เมื่อคนไทยนึกถึงอินเดียมักจะนึกถึงทัชมาฮาล ความงาม ความยิ่งใหญ่ของทัชมาฮาล คือตัวอย่างของอินเดียที่ถูกผสมด้วยวัฒนธรรมเปอร์เซีย
       ในช่วงปลายของราชวงศ์โมกุล หลังจากพระเจ้าออรังเซบแล้ว อำนาจรวมศูนย์ที่เคยมีอยู่ที่กรุงเดลีก็ค่อย ๆ เสื่อมลง กษัตริย์ผู้สืบอำนาจต่อจากพระเจ้าออรังเซบ แม้จะยังได้รับการยอมรับจากแคว้นอื่นๆอยู่ แต่ก็เป็นไปในเชิงรูปแบบ มากกว่าจะเป็นการยอมรับอำนาจจากศูนย์กลางคือกรุงเดลีอย่างแท้จริง และในที่สุด เมื่อบริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษเข้ามา อำนาจปกครองของกษัตริย์มุสลิมก็เสื่อมลง
 
อาณานิคมของอังกฤษ 
       ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอินเดียถูกเปิดขึ้นเมื่อบริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษเข้ามาทำการค้าในประเทศอินเดีย เป็นประวัติศาสตร์ที่ศูนย์อำนาจได้เคลื่อนย้ายอีกครั้ง หลังจากที่เคยเคลื่อนย้ายจากนักบวชไปสู่นักปกครอง แล้วก็ต้องย้ายศูนย์แห่งอำนาจไปสู่พ่อค้าที่เดินทางมาจากต่างแดน ชาวอังกฤษที่เข้ามาสู่อินเดียนั้นมาในนามของพ่อค้า ความจริงแล้วมีหลายชาติที่เข้ามาทำการค้ากับอินเดีย ที่สำคัญ เช่น ชาวโปรตุเกส ชาวฮอลันดา ชาวฝรั่งเศส เป็นต้น
       โปรตุเกส นับเป็นยุโรปชาติแรก ๆ ที่เข้ามาทำการค้าบนแผ่นดินอินเดีย นับตั้งแต่วัสโก ดากามา เดินทางมาถึงเมืองกาลิกัตทางตะวันตกของอินเดีย ตั้งแต่ปลายคริสตศตวรรษที่ 15 และสามารถสร้างเมืองท่าของตัวเองขึ้นเป็นผลสำเร็จที่เมืองกัว (Goa) หลังจากชาวโปรตุเกสแล้ว ก็มีชาวฮอลันดาและชาวฝรั่งเศส ส่วนอังกฤษนั้นเข้ามาในภายหลังเมื่อชาวโปรตุเกส ฮอลันดา และฝรั่งเศสได้มีกิจการที่อินเดียอยู่ก่อนแล้ว
        บริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษ ได้มีโอกาสเรียนรู้ความสำเร็จและความล้มเหลวของชาติยุโรปที่เข้ามาก่อน บทเรียนบทหนึ่งที่อังกฤษได้เรียนรู้คือ การนำศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในอินเดียเป็นอุปสรรคต่อการค้า บทเรียนนี้ รู้ได้จากการที่ชาวโปรตุเกสและฝรั่งเศสได้ให้นักการศาสนา เข้ามาทำการเผยแพร่คริสตศาสนา ภายใต้การสนับสนุนของพ่อค้า ทำให้เกิดเป็นปฏิปักษ์กับชาวอินเดีย ทั้งที่เป็นมุสลิมและฮินดู เพราะบทเรียนเช่นนี้ พ่อค้าชาวอังกฤษจึงไม่ปรารถนาจะให้เรื่องศาสนามาเป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจการค้า ที่สำคัญคือ ชาวอังกฤษเองกลับเป็นผู้สนับสนุนชาวอินเดียไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือฮินดูในการต่อสู้กับพ่อค้าต่างศาสนา
      แม้จะเข้ามาสู่อินเดียหลังชาติอื่น แต่อังกฤษกลับประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว และมากกว่าชาติอื่น ภายในเวลาไม่นาน บริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษ ก็สามารถจัดตั้งศูนย์การค้าของตัวเองได้ตามเมืองท่าสำคัญ นับตั้งแต่แถบตะวันตกที่เมืองสุรัต บอมเบย์ มาจนถึงแถบตะวันออก คือ มัทราส และกัลกัตตา ทั้งนี้ก็ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ
      เมื่อมาถึงช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงที่อำนาจปกครองรวมศูนย์โดยกษัตริย์มุสลิมเริ่มเสื่อมลง เป็นโอกาสให้พ่อค้าชาวอังกฤษมีโอกาสเข้าไปแทรกแซงด้วยการช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีความขัดแย้งกัน จนในที่สุด บริษัทอิสต์อินเดียก็มีอิทธิพลเหนือเจ้าผู้ปกครองเหล่านั้น และนำไปสู่การมีอำนาจเหนือแผ่นดินอินเดียในเวลาต่อมา
       ล่วงมาถึงศตวรรษที่ 19 ประเทศอินเดียทั้งหมดก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษ นั่นคือ บางส่วนเป็นเขตปกครองของอังกฤษโดยตรง เรียกว่า บริทิช ราช (British Raj) เขตปกครองโดยตรงนี้มีประมาณ 3 ใน 5 ของอินเดียทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นการปกครองโดยมหาราชาผู้ครองนคร ที่แตกแยกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ที่แม้จะปกครองตนเองได้แต่ก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอังกฤษ กล่าวคือ ไม่สามารถปฏิเสธอำนาจของอังกฤษได้
 
       ช่วงประมาณ 100 ปี ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นร้อยปีแห่งความเป็นไปของอินเดีย ที่ถูกกำหนดทิศทางโดยผู้ปกครองชาวอังกฤษ อินเดียที่แตกเป็นแคว้นเล็ก แคว้นน้อยมานานหลายร้อยปี ถูกเชื่อมโยงให้ติดกันเป็นหนึ่งเดียว ด้วยระบบทางรถไฟและการสื่อสารไปรษณีย์ที่อังกฤษจัดสร้างขึ้นบนแผ่นดินอินเดีย
       ภายใต้การยึดครองให้เป็นอินเดียเดียวกัน โดยอำนาจการปกครองของอังกฤษนี้ ภายในความเป็นอินเดียเองกลับแตกร้าวเป็นส่วน ๆ ที่เกาะติดกันอยู่ได้เพราะอำนาจบังคับจากภายนอกที่มาบีบไว้ ที่สุดรอยแตกร้าวก็ปรากฏออกมา เมื่ออำนาจจากภายนอกไม่สามารถร้อยรัดรวมอินเดียไว้ให้เป็นเนื้อเดียวกันได้
       นับตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มา จนถึงช่วงได้รับอิสรภาพในช่วงกลางศตวรรษ กระบวนการสลัดออกจากการปกครองของอังกฤษก็ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด อินเดียก็สลัดจากการปกครองแบบอาณานิคมออกไปได้ พร้อม ๆ กับการแตกอินเดียออกเป็นฮินดูสถาน (เขตประเทศชาวฮินดู) และปากีสถาน (เขตประเทศชาวมุสลิม)

อินเดียในสังคมโลกปัจจุบัน
       อิสรภาพจากการปกครองของอังกฤษมาสู่อินเดีย พร้อม ๆ กับปัญหานานับประการ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากเงื่อนของปัญหาที่ถูกหมักหมมไว้ในสังคมอินเดียมานานหลายร้อยปี นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่อินเดียถูกรุกรานจากอำนาจภายนอก
การเข้ามาของกษัตริย์ชาวมุสลิมเมื่อ 700 กว่าปีมาแล้ว ทำให้ความเป็นอินเดียต้องโต้ตอบกับอำนาจภายนอก จนกลายเป็นความบอบช้ำในความเป็นอินเดีย หลังจากนั้น ก็ต้องตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของพ่อค้าชาวอังกฤษอีกร่วม 200 ปี อันเป็นช่วงเวลาแห่งความตกต่ำของอินเดีย อิสรภาพในการปกครองตนเอง ต้องแลกมาด้วยการแบ่งอินเดียออกเป็น 2 ส่วน และเป็นระเบิดเวลาที่ทำลายขวัญของชาวอินเดียอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งทุกวันนี้
       ชาวอินเดียที่อยู่ในฮินดูสถานได้เพียรพยายามสร้างอินเดียใหม่ขึ้น แต่ก็เป็นความเพียรพยายามที่เต็มไปด้วยอุปสรรคนานาประการ เป็นความเพียรพยายามบนซากปรักหักพังของศาสนาและวัฒนธรรม ที่ถูกเหยียบย่ำทำลายโดยลัทธิความเชื่อจากภายนอกอินเดีย ในสถานการณ์ที่บอบช้ำอ่อนล้าภายในเช่นนี้ ชาวอินเดียต่างพยายามมุ่งมั่นที่จะสร้างชาติอินเดียให้รุ่งเรืองเหมือนอดีต กำลังภายในของอินเดีย ถูกสร้างขึ้นด้วยการหันไปมองอดีต อดีตที่จะเรียกร้องปลุกเร้าพลังแห่งชาติอินเดียให้ฟื้นตื่นขึ้นมา เพื่อแสดงความเป็นอินเดียให้ปรากฏต่อสายตาของชาวโลกอีกครั้ง
 
       ธงชาติอินเดียที่มีรูปธรรมจักรอยู่ตรงกลาง ถูกชักขึ้นสู่ยอดเสาให้สะบัดสู่กระแสลมที่พัดผ่าน "ธรรมจักร" คือสัญลักษณ์ของอินเดีย ที่เป็นแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนาและฮินดู ฮินดู คือ ระบบความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นบนแผ่นดินอินเดียโดยชาวอินเดีย ในช่วงเวลาหลายพันปี
       ทั่วโลกรู้จักอินเดีย ผ่านธรรมจักร คือ พุทธศาสนา เพราะการหมุนไปแห่งจักร คือ ธรรม อันเป็นผลิตผลของอินเดีย ที่ทำให้ความเป็นอินเดีย มีคุณค่า และความหมายต่อชาวโลก วันนี้ ชาวอินเดียชักธงชาติซึ่งมีธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์อยู่ตรงกลางขึ้นสู่ยอดเสา เพื่อโบกสะบัดให้ชาวโลกได้ประจักษ์อีกครั้งว่า ยังมีอินเดียเป็นส่วนหนึ่งของโลก
 
      1. สังคม
          
อินเดียเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่และยาวนาน มีอารยธรรมที่สืบต่อกันมานานหลายพันปี วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของประชาชนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สามารถย้อนโยงให้เห็นถึงความเป็นมาที่สืบต่ออย่างไม่ขาดตอน ไม่น้อยกว่า 5,000 ปี
           - อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ เป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองมากว่า 5,000 ปี และได้สร้างอารยธรรมขึ้นมาเหนือแผ่นดินอินเดีย
           - การเข้ามาของอารยัน ก่อให้เกิดการผสมผสานอารยธรรมเดิมกับอารยธรรมอารยัน ซึ่งเป็นผลตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้
         การผสมผสานวัฒนธรรม วิถีชีวิต และแนวคิดต่าง ๆ ของประชาชนอินเดีย ได้ผลิดอกออกผลเป็นลัทธิศาสนา ที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อประชาชนอินเดียและชาวเอเชียทั้งมวล ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ การเกิดขึ้นของพุทธศาสนาเมื่อ 500 กว่าปีก่อนคริสต์ศักราช และต่อมาประมาณ 300 กว่าปี ก่อนคริสตศักราช อินเดียได้รับอิทธิพลจากชาวกรีกอีกครั้ง จากการยกทัพเข้ามาของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช
         ประมาณ 200 กว่าปีก่อน ค.ศ. พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งแคว้นมคธ ได้แผ่ขยายอิทธิพลของอินเดียให้ปกคลุมไปทั่วภาคพื้นประเทศอินเดีย ความเป็นอินเดียได้ขยายไปตลอดช่วงของราชวงศ์ต่าง ๆ ของอินเดีย เช่น ราชวงศ์โมริยะ ราชวงศ์คุปตะ ราชวงศ์โจละ ราชวงศ์วัฒนะ
         ประวัติศาสตร์ชาติอินเดียได้เปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 11 เมื่ออำนาจของชาวมุสลิมรุ่งเรืองเข้มแข็งในแถบตะวันออกกลาง แล้วแผ่ขยายเข้ามาสู่อินเดีย และในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 อำนาจของกษัตริย์มุสลิมก็เข้ามาสู่อินเดีย และสามารถยึดครองอินเดียไว้ได้
        ในตอนต้นศตวรรษที่ 17 ชาวอังกฤษเริ่มเข้ามาค้าขายในอินเดีย และแล้วอินเดียก็ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวอังกฤษในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 เมื่อกองกำลังทหารอังกฤษเข้ามายึดครองอินเดียด้วยการอ้างว่า เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของบริษัทการค้าของอังกฤษ ร่วม 200 ปี ที่อินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1947 อินเดียได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ แต่อินเดียก็ต้องถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ฮินดูสถาน และปากีสถาน
        อินเดียในปัจจุบัน คือ ฮินดูสถานหรือภารตที่ได้รับความบอบช้ำจากการเข้ามามีอำนาจการปกครองจากภายนอกมาอย่างยาวนาน ประชาชนชาวอินเดียในปัจจุบันจึงอยู่ในสภาพของบุคคลที่กำลังฟื้นฟูความรู้สึกแห่งความเป็นอินเดีย ที่บอบช้ำจากการรุกรานของคนต่างวัฒนธรรม ความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกย่ำยีโดยคนต่างวัฒนธรรมนี้ ทำให้ชาวอินเดียมีท่าทีต่อคนต่างชาติในลักษณะที่บางครั้ง ชาวต่างประเทศที่ไปเยือนอินเดียก็ยากที่จะเข้าใจ
 
        การที่จะมองสังคมอินเดียให้เห็นความเป็นอินเดียที่ชัดเจนได้นั้น ต้องมองด้วยสายตาที่เห็นใจและเข้าใจในความเป็นอินเดีย ที่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขอันยุ่งยากและซับซ้อนหลายประการ ด้วยประชากรที่มากกว่า 1 พันล้านคนในปัจจุบัน อีกทั้งมีความต่าง ทั้งทางด้านชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ความเชื่อ สภาพเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ ความแตกต่างอันหลากหลายนี้จะเป็นรากฐานให้เกิดความเป็นเอกภาพได้อย่างไร นี่คือโจทย์ข้อใหญ่ของผู้นำอินเดียในยุคปัจจุบัน ความเพียรพยายามในช่วงกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เป็นความเพียรพยายามเพื่อสร้างสังคมที่มีความเป็นเอกภาพ บนความแตกต่าง (Unity in Diversity)
       ผู้ที่มองไปที่สังคมอินเดีย ต้องมองให้เห็นความแตกต่างเป็นความงดงาม มองให้เห็นความล่าช้าเป็นความดี และที่สำคัญ มองเห็นความบกพร่องไม่สมบูรณ์เป็นบทเรียนอันล้ำค่า ถ้าหากมองได้อย่างนี้ การเพ่งมองไปที่สังคมอินเดีย ก็จะมีคุณค่าและความหมายที่ดีงามต่อผู้มอง แต่ถ้าหากเมื่อใดที่เรามองด้วยสายตาที่ไร้ความเห็นใจ ขาดความเข้าใจ เราก็จะพบความแตกต่างที่น่ารังเกียจ เห็นความไร้ระเบียบเป็นสิ่งเลวร้าย และเห็นความล่าช้า เป็นความสูญเสีย
       2. การเมือง การปกครอง 
             26 มกราคม ค.ศ. 1950 อินเดียได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก และเป็นฉบับเดียวที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ภายหลังจากที่ได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ รัฐธรรมนูญของอินเดียได้ประกาศให้ประเทศอินเดียเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย(Socialist Secular Democratic Republic) มีการปกครองระบบรัฐสภา แยกอำนาจอธิปไตยเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ
             ฝ่ายนิติบัญญัติ อำนาจอยู่ที่รัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย
               1. โลกสภา คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนอินเดียทั่วประเทศ ในอัตราส่วน 1.5 ล้านคนต่อผู้แทน 1 คน
               2. ราชสภา คือ วุฒิสภาหรือสภาสูง ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากตัวแทนรัฐ และดินแดนสหภาพต่าง ๆ จำนวน 250 คน และตัวแทนอาชีพอิสระพิเศษอีก 12 คน ซึ่งเสนอชื่อและแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี 1 ใน 3 ของสมาชิกราชสภา จะครบวาระลงในทุก ๆ 2 ปี
          นอกจากรัฐสภาที่เป็นผู้ใช้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติแทนประชาชนอินเดียแล้ว ยังมีสภานิติบัญญัติแห่งรัฐในรัฐต่าง ๆ ซึ่งมีอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติแทนประชาชนในรัฐนั้น สภานิติบัญญัติแห่งรัฐในบางรัฐ เช่น อันธรประเทศ ทมิฬนาฑู อุตรประเทศ มีรูปแบบของสภานิติบัญญัติคล้าย ๆ กับส่วนกลาง คือ มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ในบางรัฐมีสภานิติบัญญัติเป็นแบบสภาเดียว ที่เลือกตั้งจากประชาชน
          รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการออกกฎหมาย พิจารณาอนุมัติ พ.ร.บ. งบประมาณแผ่นดิน ที่เสนอโดยรัฐบาล และมีอำนาจตรวจสอบ ปลดประธานาธิบดีได้ก่อนครบวาระพ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน เป็นอำนาจของโลกสภาเท่านั้นในการอนุมัติ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุด ได้ขยายวาระของสมาชิกโลกสภาและสภาแห่งรัฐจาก 5 ปี เป็น 6 ปี
          ฝ่ายบริหาร อำนาจในการบริหารอยู่ในมือของรัฐบาล ซึ่งอำนาจในฝ่ายบริหารถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนกลาง ได้แก่ กิจการด้านกลาโหม ต่างประเทศ การคลัง คมนาคม และส่วนรัฐ ได้แก่ กิจการด้านการเกษตร การศึกษา การสาธารณสุข เป็นต้น รัฐบาลกลางมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า เป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหารกิจการส่วนกลาง
          นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมาจากโลกสภา โดยสมาชิกส่วนข้างมากจะเป็นผู้เลือกสมาชิกผู้หนึ่งขึ้นมา แล้วเสนอให้ประธานาธิบดีแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนคณะรัฐมนตรีอาจจะเป็นบุคคลภายนอกก็ได้ แต่ต้องได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกโลกสภาใน 6 เดือน หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี มิฉะนั้น ความเป็นรัฐมนตรีจะต้องสิ้นสุดลง
          รัฐบาลแห่งรัฐ มีมุขมนตรีเป็นหัวหน้า เป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหารกิจการส่วนรัฐ มุขมนตรีและคณะมนตรีมาจากรัฐสภาแห่งรัฐ โดยสมาชิกส่วนข้างมากของรัฐสภาแห่งรัฐ เป็นผู้เลือกและจัดตั้งคณะมนตรี คล้าย ๆ กับการจัดตั้งรัฐบาลกลาง โดยมีประธานาธิบดีเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งตามข้อเสนอของสภา
           ฝ่ายตุลาการ มีประธานศาลฎีกาเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด อำนาจฝ่ายตุลาการเป็นอำนาจรวม ไม่แยกเป็นส่วนกลางและส่วนรัฐ แต่ถูกกระจายออกไปเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุธรณ์ และศาลสูง
          ประธานาธิบดี คือ บุคคลที่มีสถานภาพเป็นประมุขของชาติ เป็นผู้ใช้อำนาจทั้ง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ใช้อำนาจผ่านรัฐบาลกลางและรัฐบาลแห่งรัฐ ฝ่ายนิติบัญญัติ ใช้อำนาจผ่านรัฐสภาและสภาแห่งรัฐ ฝ่ายตุลาการ ใช้อำนาจผ่านศาลสถิตยุติธรรม โดยโครงสร้างอำนาจเช่นนี้ ประธานาธิบดีจึงมีอำนาจเหนือผู้นำทั้ง 3 ฝ่าย และมีอำนาจปลดผู้นำทั้ง 3 ฝ่ายได้ โดยการประกาศยุบโลกสภาและสภาแห่งรัฐ และปลดประธานศาลฎีกาก่อนครบวาระได้
 
         แต่ในทางปฏิบัติจริงแล้ว ผู้มีอำนาจจริง ๆ คือ นายกรัฐมนตรี เพราะคนที่ไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คือ บุคคลที่ถูกเลือกโดยนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีคือ ผู้นำพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในโลกสภา ที่มีกลไกควบคุมรัฐสภาและสภาแห่งรัฐได้อยู่แล้วในภาคปฏิบัติที่เป็นเช่นนี้เพราะประธานาธิบดีถูกเลือกโดยสมาชิกรัฐสภาและสภาแห่งรัฐ
          ระบบการเมืองของอินเดีย มีความน่าสนใจทั้งในแง่ของหลักการและวิธีการ เพราะเป็นการผสมผสานลักษณะต่าง ๆ ของระบบการเมืองจากทั่วโลกให้มาปรากฎอยู่ในอินเดีย และอินเดียเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุด และมีความหลากหลายซับซ้อนมากที่สุด แต่อินเดียก็ยังคงสภาพความเป็นประชาธิปไตยไว้ได้อย่างน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
 
        3. เศรษฐกิจ
            
หลังจากที่ได้รับอิสรภาพในปี ค.ศ.1947 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ อินเดียได้ประกาศเป็นประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย และด้วยแนวทางการปกครองที่มีลักษณะเป็นสังคมนิยม ทำให้ช่วงแรก นับตั้งแต่ได้รับอิสรภาพมาจนถึงปี ค.ศ.1990 เป็นช่วงเวลา 40 ปี ที่ประเทศอินเดียปิดประเทศทางด้านเศรษฐกิจ โดยเน้นการลงทุนเฉพาะภายในประเทศ ภายใต้การควบคุมของรัฐอย่างเคร่งครัด ด้วยแนวนโยบายทางเศรษฐกิจแบบกึ่งสังคมนิยม ทำให้อินเดียไม่มุ่งเน้นการแข่งขันกับตลาดข้างนอก แต่เน้นเศรษฐกิจพอเพียงภายในประเทศ
            จากแนวนโยบายทางเศรษฐกิจแบบเก่า ทำให้อินเดียสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดภายนอก ยิ่งเมื่อประสบกับปัญหาทางการเมือง ที่ในอดีตพรรคครองเกรสได้ครองอำนาจมายาวนานจนกลายเป็นว่า แนวนโยบายแบบสังคมนิยมเป็นนโยบายหลักของพรรคคองเกรส เมื่ออำนาจทางการเมืองเปลี่ยนไป ความคิดที่จะทบทวนนโยบายทางเศรษฐกิจก็เกิดขึ้น ประกอบกับปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดในอินเดียเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ จนในที่สุด อินเดียก็ได้ประกาศใช้นโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ ในปี ค.ศ. 1991
 
            นโยบายเศรษฐกิจใหม่นี้ เป็นการรื้อปรับระบบโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในยุคใหม่ของอินเดีย นโยบายใหม่ทางเศรษฐกิจ ได้เปิดประตูให้ทุนต่างชาติเข้ามาสู่อินเดียได้ พร้อม ๆ กับสนับสนุนนักลงทุนภายใน โดยการยกเลิกกฎระเบียบที่เข้มงวดซึ่งได้ใช้ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา กิจการของรัฐหลาย ๆ ส่วน ถูกแปรรูปไปเป็นกิจการของเอกชน และได้ส่งเสริมให้มีการแข่งขันโดยใช้ระบบกลไกตลาดเสรีเป็นตัวกำกับการแข่งขัน
            มาถึง ณ วันนี้ อินเดียได้ผ่านทศวรรษแรกแห่งการประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ไปแล้ว ช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านไป ทำให้อินเดียถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก พอ ๆ กับประเทศจีน และเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดประเทศหนึ่ง
           ด้วยประชากรที่มากกว่า 1 พันล้านคน ทำให้อินเดียถูกมองว่าเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดรองลงมาจากจีน ในแง่ของตลาดแรงงาน อินเดียเป็นประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานถูกมากประเทศหนึ่ง เมื่อมองจากภายนอก อินเดียเป็นประเทศที่นักลงทุนข้ามชาติต่างจ้องมองด้วยความสนใจ หากแต่เมื่อมองจากภายในสังคมอินเดียเอง ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีคนยากจนมากที่สุดในโลก
 
          อินเดียมีประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจน (Poverty Line) ถึง 29.9 % ของประชากรทั้งประเทศ เมื่อคิดเป็นจำนวนแล้ว เป็นประชาชนที่ยากจนมากกว่า 300 ล้านคน เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประชากรทั่วโลกที่ถูกจัดว่าเป็นคนยากจนแล้ว เป็นอัตราส่วนถึง 1 ใน 3 ของคนยากจนทั้งโลก ที่อยู่ในประเทศอินเดีย กล่าวอย่างง่ายๆ ว่า ถ้ามีคนยากจนเดินมา 3 คน 1 ในนั้นจะเป็นคนอินเดีย หรือเมื่อจะกล่าวเทียบเคียงกับประชาชนไทยแล้ว ก็จะกล่าวได้ว่า เฉพาะคนยากจนในอินเดีย ก็มีจำนวนมากกว่าคนไทยทั้งประเทศถึง 5 เท่า
          ประชาชนผู้ยากจนกว่า 300 ล้านคนนี้ มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อแสวงหาอาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัยเท่านั้น ในชีวิตของพวกเขา อาหารเพียงเพื่อประทังชีวิตในแต่ละวัน เสื้อผ้าที่พอจะปกปิดร่างกายและห่มคลุมเพื่อกันหนาว ที่เพียงแค่พอซุกหัวนอนยามค่ำคืน คือความหมายของชีวิตที่เป็นอยู่บนโลกใบนี้
          แม้ว่ารัฐบาลอินเดียทุกยุคทุกสมัยจะเพียรพยายามก้าวไปข้างหน้า เพื่อก้าวให้ทันนานาประเทศ แต่ก็ไม่สามารถจะทอดทิ้งประชาชนผู้ยากไร้จำนวนมากนี้ไว้ได้ ในสายตาของนักลงทุนข้ามชาติหรือพ่อค้าที่มุ่งกำไร คนกว่า 300 ล้านคนนี้ อาจจะไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา แต่สำหรับชาวอินเดียทั่ว ๆ ไปแล้ว คนกว่า 300 ล้านคนนี้ คือเพื่อนร่วมชาติของเขา เพราะฉะนั้น โครงสร้างและระบบเศรษฐกิจของอินเดีย จะต้องมีพื้นที่ให้คนเหล่านี้ด้วย และนี่ก็คือ ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ที่ใครก็ตามที่ปรารถนาประโยชน์จากการค้าขายกับอินเดีย ควรคิดคำนึงไว้ด้วย
 
    อินเดียและประเทศไทย 
       
ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและไทย เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานในแง่มุมที่ลุ่มลึก ซึ่งความสัมพันธ์นี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงอดีต และช่วงปัจจุบัน แต่ทั้ง 2 ช่วงนี้ก็มีสายใยแห่งความหมายที่โยงถึงกัน
        ก. ไทยและอินเดียในอดีต 
           ความสัมพันธ์ไทย-อินเดียในอดีต เป็นความสัมพันธ์กันในมิติทางศาสนาและวัฒนธรรม ความสัมพันธ์กันในมิตินี้ มีความเก่าแก่ยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ชาติไทย นั่นคือ ขณะที่เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยย้อนหลังไปได้ประมาณ 700 - 1,000 ปี แต่ความสัมพันธ์ของประชาชนบนแผ่นดินที่ปัจจุบันเป็นประเทศไทย มีความสัมพันธ์กับอินเดียมานานกว่า 1,000 ปี
          ศาสนาของชาวอินเดียทั้งพุทธและพราหมณ์ ได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจของประชาชนแถบนี้มานานนับพันปีแล้ว ไม่ว่าในช่วงอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรล้านนา หรือกรุงศรีอยุธยา ล้วนแต่พบว่า ชาติไทยถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้สึกสำนึกภายในกรอบของความเชื่อแบบอินเดีย ที่เสนอผ่านศาสนาพุทธและพราหมณ์ ความเป็นชุมชนไทยที่วางตั้งอยู่บนความสัมพันธ์ ที่มีหลักธรรมในพุทธศาสนาเป็นฐานรองรับ ความเป็นรัฐไทย ที่มีโครงสร้างของอำนาจที่กำหนดไว้ตามคติแห่งพุทธและพราหมณ์ ล้วนแต่เป็นผลผลิตทางความคิดจากอินเดีย จึงไม่เกินความเป็นจริงหากจะกล่าวว่า เราสร้างสังคมไทยและชาติไทยขึ้นมา จากองค์ประกอบทางความเชื่อที่นำเข้ามาจากอินเดีย
          แม้เมื่อเราได้สร้างสังคมและชุมชนด้วยองค์ประกอบทางความคิดจากอินเดียแล้ว เราก็ยังนำเข้าจารีต วัฒนธรรมต่าง ๆ จากอินเดียเข้ามาเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรมและวัฒนธรรม อีกทั้งประเพณีต่างๆ ก็นำมาจากอินเดีย แล้วปรุงแต่งให้เหมาะสมกับชุมชนและสังคมไทยตลอดมา
          ความสัมพันธ์กันในมิติทางศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างไทยและอินเดีย มาสดุดหยุดลงเมื่ออินเดียอ่อนแอลงในทางวัฒนธรรมและศาสนา สินค้าทางวัฒนธรรมที่ผลิตขึ้นในอินเดียเริ่มขาดแคลนและลดน้อยลงสำหรับสังคมไทย ทั้งนี้ก็เพราะ อินเดียซึ่งเป็นดินแดนที่ผลิตศาสนาและวัฒนธรรมส่งออก มีปัญหาภายในที่ถูกรุกรานโดยชาวต่างชาติต่างวัฒนธรรม จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะผลิตวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่ให้กับสังคมโลกได้ ในช่วงนี้เอง ที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดียสะดุดลง
         ข. ไทยและอินเดียในปัจจุบัน
              ความสัมพันธ์ไทย-อินเดียในยุคปัจจุบันเริ่มฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขณะที่เป็นยุวกษัตริย์ ได้เสด็จประพาสอินเดีย ในปี ค.ศ. 1872 ซึ่งขณะนั้นอินเดียเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ และความสัมพันธ์ไทย-อินเดียปรากฏชัดยิ่งขึ้น
 
            ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ซึ่งพระองค์ได้ทรงเคยศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยวรรณกรรมของอินเดีย จนถึงกับทรงมีพระราชนิพนธ์งานหลายชิ้น ที่เป็นการรื้อฟื้นกลิ่นอายของอินเดียให้มาปรากฏในความรู้สึกของประชาชนคนไทยอีกครั้ง ดังงานพระราชนิพนธ์ เช่น รามเกียรติ์ ศกุนตลา มัทนะพาธา ฯลฯ เป็นต้น
 
            นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 แล้ว ก็ยังมีนักปราชญ์ท่านอื่นที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอินเดีย ด้วยการถ่ายทอดความเป็นอินเดียให้ปรากฏในงานวรรณกรรมมาสู่ภาคภาษาไทย นักปราชญ์เหล่านั้น เช่น ท่านเสถียรโกเศศ, ท่านนาคประทีป, อาจารย์แสง มนวิทูร เป็นต้น
             ในกระบวนการสร้างสายสัมพันธ์ไทยกับอินเดียนั้น นอกจากชาวไทยแล้ว ชาวอินเดียเองก็ได้มีบทบาทในการสร้างสรรค์นี้ด้วย ในช่วงปลายยุคอาณานิคมอังกฤษซึ่งมีอำนาจเหนือแผ่นดินอินเดียนั้น ชาวอินเดียได้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพแห่งความเป็นอินเดีย ประเทศไทยได้มีส่วนโดยอ้อมคือ ได้ให้ที่พักพิงแก่นักบวชฮินดูที่ต้องลี้ภัยออกมาจากอินเดีย แล้วมาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ บุคคลผู้นี้คือ สวามี สัตยา นันทบุรี
             ท่านสวามีผู้นี้ แม้ท่านจะมาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ในฐานะผู้หนีภัย แต่ท่านก็ได้สร้างคุณูปการอย่างมากต่อความสัมพันธ์ไทย-อินเดียยุคปัจจุบัน ทั้งในส่วนสร้างความรู้ความเข้าใจในความเป็นอินเดีย ผ่านงานเขียนของท่านจำนวนหลายเรื่อง เช่น ปรัชญาตะวันออก ตรรกวิทยา ปรัชญาโยคะ ฯลฯ สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือท่านได้สร้างองค์กรความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ที่ก่อให้เกิดผลทางสังคมไทยอย่างยิ่งคือ ท่านได้เป็นผู้ก่อตั้งอาศรมวัฒนธรรมไทย-ภารต ขึ้น และอาศรมวัฒนธรรมไทย-ภารต นี้เอง ที่เป็นประดุจสะพานทอดเชื่อมให้ชาวไทยและชาวอินเดียได้ไปมาหาสู่กัน ผู้เขียนสารคดีนี้ ได้เดินทางไปสู่อินเดีย ก็เพราะได้ไปใช้บริการความรู้จากอาศรมวัฒนธรรมไทย-ภารตะ นี้เอง
             อีกผู้หนึ่งที่อดมิได้ที่จะเอ่ยถึง เพราะท่านผู้นี้ เป็นเสมือนหนึ่งทูตอินเดียประจำประเทศไทย ท่านคือ อาจารย์กรุณา กุศลาสัย ท่านเป็นผลผลิตของระบบการศึกษาอินเดียที่สังคมไทยได้มีโอกาสลิ้มรสแห่งความเป็นอินเดียผ่านท่าน ชีวิตของท่าน เป็นเหมือนตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นในอินเดียยุคใหม่ แล้วมอบให้สังคมไทยได้ทดลองสัมผัสดู ผลงานแปลเช่น พบถิ่นอินเดีย ของบัณฑิตยวาหระลาล เนร์รู อัตชีวประวัติของท่านมหาตมะคานธี คีตาญชลีของมหากวีเอกรพินทรนาถฐากูร ล้วนแต่เป็นผลงานแปลของอาจารย์กรุณา กุศลาสัย ทั้งนั้น
 
             นอกจากนี้แล้วยังมีงานเขียนของท่านอีกมากมาย เช่น ภารตวิทยา อินเดียอนุทวีปที่น่าทึ่ง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นผลงานที่ทำให้คนไทยได้สัมผัสกับความเป็นอินเดียที่งดงามและลุ่มลึก ท่านอาจารย์กรุณา กุศลาสัย นี้เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนกล้าเดินทางไปศึกษาในประเทศอินเดีย
             ความสัมพันธ์ไทย-อินเดียยุคใหม่ นอกจากจะเป็นความสัมพันธ์ในทางการศึกษา ศาสนาและศิลปวัฒนธรรมแล้ว ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกสะพานหนึ่งที่เชื่อมให้ไทยและอินเดียได้ติดต่อกัน มีนักธุรกิจไทยไปลงทุนที่อินเดีย และมีนักธุรกิจอินเดียมาลงทุนที่ประเทศไทย มาวันนี้ รัฐบาลไทยและรัฐบาลอินเดีย ได้มีความสัมพันธ์ร่วมมือกันในทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีมูลค่าทางการระหว่างไทย-อินเดีย มากถึง 42,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีมูลค่ามากถึง 84,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2547
            ความร่วมมือกันระหว่างไทยและอินเดีย เป็นไปทั้งในลักษณะทวิภาคีและพหุภาคี เช่น ความร่วมมือกันภายใต้โครงการความร่วมมือแม่โขง-คงคา (Mekong - Ganga Coperation - MGC) เป็นความร่วมมือกันระหว่างไทย - อินเดีย - พม่า - ลาว - กัมพูชา เพื่อสนับสนุนส่งเสริมความร่วมมือกันในด้านการค้า การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม
         นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือล่าสุดที่ทั้งสองประเทศได้มีการเซ็นสัญญาตกลงกันแล้ว เช่น
          - การร่วมมือกันป้องกันผู้ก่อการร้าย
          - การท่องเที่ยว
          - การขยายเขตการบิน การขนส่ง
          - การป้องกันเรื่องยาเสพติด
          - การเชื่อมโยงการสัญจรด้าน พม่า ไทย อินเดีย และอันดามัน
          - การยกเว้นค่าวีซ่า พาสปอร์ทของทางราชการ
          - การร่วมมือด้านการเกษตรและเคมีชีวภาค
          - กองทุนตลาดพันธบัตร เอเชียบอนและ
          - ความร่วมมือในด้านเทคโนโลยี
          - การเปิดตลาดการค้าเสรี
        นับเป็นความร่วมมือที่มีขอบเขตกว้างขวางเป็นพิเศษและส่งผลอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้
 


อินเดียจากภูมิสัณฐานถึงยุคพระเวท




อินเดีย : จากภูมิสัณฐานถึงยุคพระเวท
อินเดียจากสารานุกรมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน (๑)
ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
บทนำ
เมื่อเอ่ยถึงอินเดีย ภาพและความหมายของอินเดียในความรู้สึกของคนไทย อาจจะแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของแต่ละคนว่าได้รับรู้เกี่ยวกับอินเดียจากแหล่งใด ถ้าจะกล่าวอย่างง่าย ๆ ที่สุด อินเดียมีภาพและความหมายอยู่ในใจคนไทย 2 ภาพ คือ
- ภาพเก่าที่มีความหมายว่าอินเดียเป็นดินแดนแห่งความรุ่งเรือง เป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนา
- ส่วนอีกภาพหนึ่งคือภาพใหม่ เป็นภาพของอินเดียที่มีความหมายถึงความยากจนเต็มไปด้วยขอทานและชาวอินเดียเป็นคนตระหนี่เห็นแก่ตัว
ภาพเก่านั้นเป็นภาพที่เกิดขึ้นในใจคนไทย ผ่านการเรียนรู้ทางศาสนาและธรรมเนียมประเพณี ส่วนภาพใหม่ เกิดขึ้นผ่านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารยุคใหม่ ที่บอกกล่าวความเป็นไปของอินเดียที่มองผ่านสื่อมวลชนตะวันตก
ไม่ว่าจะมองผ่านอะไรและเห็นภาพอินเดียเป็นเช่นใด ล้วนแต่เป็นภาพแห่งความจริงของอินเดียทั้งสิ้น เพราะอินเดียเป็นประเทศที่มีอารยธรรมอันเก่าแก่ สืบเนื่องติดต่อกันมาหลายพันปี มีความหลากหลายทั้งทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ภาพที่เรามองเห็นไม่ว่าจะเป็นภาพเช่นไรล้วนสะท้อนความเป็นจริงของอินเดียทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นความหมายที่แท้จริงของอินเดียจึงไม่ควรเกิดขึ้นจากการมองเห็นภาพเพียงภาพเดียว แต่ควรจะมีความหมายจากหลาย ๆ ภาพ เพราะภาพพระศาสดาผู้เสียสละดังเช่นพระพุทธองค์ก็เป็นชาวอินเดีย ขณะที่ภาพของคนผู้เห็นแก่ตัวก็เป็นชาวอินเดียได้เช่นกัน และนี่คือ ความมหัศจรรย์ของความเป็นอินเดียที่มีเสน่ห์เย้ายั่วให้คนภายนอกอยากรู้
 
อินเดีย : แผ่นดินและประชากร
อินเดียเป็นชื่อที่ชาวโลกทั่วไปเรียก หากแต่ประชาชนชาวอินเดียกลับเรียกตัวเขาเองว่า "ภารต" และเรียกแผ่นดินที่เขาอยู่อาศัยว่า "ภารตประเทศ"
"ภารต" เป็นชื่อที่ใช้เรียกในความหมายกว้าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมประชาชนและแผ่นดินแห่งอินเดียทั้งหมด หากแต่เมื่อท่องเที่ยวไปบนแผ่นดินอินเดีย และพบปะกับประชาชนชาวอินเดีย เขาเหล่านั้นก็จะมีความเป็นอินเดียที่แยกย่อยลงไปอีก ขณะที่เดินทางอยู่บนแผ่นดินอินเดีย ท่านอาจจะได้พบเพื่อนเดินทางที่มีร่างกายสูงใหญ่ผิวขาว จมูกโด่ง เขาจะบอกท่านว่าเขาเป็นปัญจาบีหรือซิกข์ ที่นับถือศาสนาซิกข์ พูดภาษาปัญจาบี มีเลือดเนื้อเป็นชาวอารยัน แต่พร้อม ๆ กันนั้นท่านก็อาจจะมีเพื่อนเดินทางชาวอินเดียที่มีร่างกายเล็กเตี้ย ผิวดำ จมูกแบน เขาจะบอกท่านว่า เขาเป็นชาวทมิฬ พูดภาษาทมิฬ นับถือศาสนาฮินดู มีเลือดเนื้อเป็นชาวดราวิเดียน
ภาพแห่งความแตกต่าง หลากหลายเหล่านี้ จะปรากฏอย่างเป็นปกติบนแผ่นดินอินเดีย แผ่นดินที่มีความแตกต่างทางภูมิประเทศและมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมของประชาชน
 
แผ่นดินอินเดีย
ประเทศอินเดีย มีอาณาเขตกว้างขวาง ครอบคลุมพื้นที่ถึง 3,287,263 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นสัดส่วนของพื้นที่ผิวดินของโลกทั้งหมดจะเป็นอินเดีย 2.42 % ของแผ่นดินโลก ถ้าจะจัดอันดับของความกว้างใหญ่ของแผ่นดิน อินเดียมีอาณาเขตกว้างใหญ่เป็นอันดับที่ 7 รองจากรัสเซีย แคนาดา จีน สหรัฐอเมริกา บราซิล และออสเตรเลีย ถ้านำไปเทียบกับยุโรปทั้งหมด อินเดียจะมีขนาดเท่ากับ 2 ใน 3 ของยุโรป เมื่อเทียบกับประเทศไทย อินเดียจะมีอาณาเขตกว้างใหญ่กว่าไทย 6 เท่า
อาณาเขตประเทศอินเดีย ทิศเหนือมีเทือกเขาหิมาลัยเป็นพรมแดนจะไปจดประเทศจีนและเนปาล ทิศตะวันออกจดประเทศภูฐาน พม่าและบังคลาเทศ ทิศตะวันตกจดประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถาน ทิศใต้อยู่ระหว่างทะเลอาระเบียนและมหาสมุทรอินเดีย โดยมีอ่าวเบงกอลอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้
แผนที่ประเทศอินเดีย
แผนที่ประเทศอินเดีย
ภายในอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ ประกอบไปด้วยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ 4 ประเภท คือ
1. เขตเทือกเขาสูง เป็นเขตพื้นที่ทางภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เทือกเขาที่คนไทยรู้จักดี คือ เทือกเขาหิมาลัย อันเป็นต้นตำนานป่าหิมพานต์ ภูมิประเทศเขตนี้ จะมีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี
2. เขตที่ราบลุ่ม เป็นพื้นที่ราบ มีแม่น้ำสายสำคัญ ๆ ไหลผ่าน ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา ที่ราบลุ่มแม่น้ำโคธาวารี
3. เขตทะเลทราย เป็นเขตที่มีอากาศแห้งแล้ง ร้อน เช่น ในเขตทะเลทรายธาร์
4. เขตชายฝั่งทะเล เป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเล ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งมีทะเลทั้ง 3 ด้าน คือ อ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย และทะเลอาระเบียนโอบล้อมอยู่ ทำให้ประเทศอินเดียมีชายหาดยาวถึง 6,083 กิโลเมตร
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกันเช่นนี้ทำให้ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศทั้งร้อนจัด หนาวจัด และฝนชุก อยู่ในประเทศเดียวกัน
ปัจจุบันนี้ประเทศอินเดียแบ่งเขตปกครองออกเป็น 29 รัฐ (States) และ 6 ดินแดนสหภาพ (Union Territories)
 
ประชากรอินเดีย
ในปี พ.ศ. 2544 ประเทศอินเดียมีประชากรมากถึง 1,027,015,240 คน มากเป็นอันดับสองรองจากประเทศจีน เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรโลกทั้งหมด ก็จะเป็นชาวอินเดียถึง 16% นั่นคือ ในทุก ๆ 6 คนของประชากรโลก จะเป็นชาวอินเดีย 1 คน ประชากร 1 พันกว่าล้านคนนี้อาศัยอยู่บนแผ่นดินอินเดีย คิดเฉลี่ยแล้ว 1 ตารางกิโลเมตร จะมีชาวอินเดียอาศัยอยู่ 324 คน ถ้าจะเทียบเคียงกับประเทศไทย ประชากรอินเดียมากกว่าประชากรไทย 16 เท่า ขณะที่ 1 ตารางกิโลเมตรที่ชาวอินเดียต้องอยู่ร่วมกันถึง 324 คน แต่คนไทยจะอยู่ร่วมกันเพียงแค่ 124 คนเท่านั้น เพราะฉะนั้น การต่อสู้แย่งชิงในหมู่ชาวอินเดีย ก็ย่อมจะแตกต่างไปจากเราคนไทยมาก
ในท่ามกลางจำนวนประชากรที่มากมายและแออัดยัดเยียดของชาวอินเดียนี้ ยังประกอบไปด้วยความหลากหลายของชาติพันธุ์และวัฒนธรรม จนทำให้ชาวอินเดียมีความหลากสี ต่างพันธุ์ จึงทำให้คนนอกวัฒนธรรมอินเดียงุนงงสงสัยกับความเป็นอินเดียอยู่เสมอมา
 
สีผิวของชาวอินเดีย
ประเทศอินเดียเป็นประเทศหนึ่ง ที่มีประชากรของประเทศครบทุกสีผิว มนุษย์โลกเรานี้แม้จะมีจำนวนมากถึง 6 พันกว่าล้านคน แต่เมื่อจำแนกโดยสีผิวแล้ว มีอยู่เพียง 3 สีผิวเท่านั้นเอง คือ ผิวขาว ผิวดำ และผิวเหลือง คนยุโรปเป็นตัวอย่างของคนผิวขาว คนอัฟริกาเป็นตัวอย่างของคนผิวดำ และคนเอเชีย เป็นตัวอย่างของคนผิวเหลือง
มนุษย์ในโลกทั้ง 3 สีผิวนี้ มาอยู่รวมกันเป็นชาวอินเดียมาเนิ่นนานนับพันปีแล้ว ตัวอย่าง เช่น ชาวปัญจาบี และชาวแคชเมียร์ เป็นตัวอย่างของคนอินเดียผิวขาว หรือ อินโดยุโรเปียน (อารยัน) ชาวเกราลา และชาวทมิฬ เป็นตัวอย่างของคนอินเดียผิวดำ หรือเรียกว่า ทราวิฑ ชาวมณีปูร์ ชาวอัสสัม เป็นตัวอย่างของคนอินเดียผิวเหลือง หรือมองโกลอยด์ ในแต่ละกลุ่มสีผิวนี้ยังแยกย่อยออกเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อีกมากมาย จนทำให้ประชากรอินเดียเป็นประชากรหลากสีผิว ที่อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนาน ที่ดูสวยงาม จนยากที่จะหาดู เช่นนี้ได้ในประเทศอื่น ๆ
 
ภาษาของชาวอินเดีย
การจำแนกชาวอินเดียโดยสีผิวนั้นค่อนข้างเป็นวิธีการที่ยังหยาบเกินไป เพราะแต่ละสีผิว ยังมีชาติพันธุ์ย่อยลงไปอีกมาก และอีกวิธีหนึ่ง ในการทำความรู้จักกับชาวอินเดียคือ การจำแนกตามภาษาที่ใช้พูดสื่อความ จากการศึกษาของนักภาษาศาสตร์ ที่ทำการสำรวจภาษาของชาวอินเดีย ปรากฏว่าชาวอินเดีย 1 พันกว่าล้านคนนี้ มีภาษาพูดแตกต่างกันถึง 1,652 ภาษา โดยใช้เกณฑ์ว่า ไม่นับภาษาพูดที่มีคนพูดกันน้อยกว่า 1 แสนคน 
แผนที่แบ่งโซนการใช้ภาษาในอินเดีย

แผนที่แสดงเขตพื้นที่การใช้ภาษาต่างๆ เป็นภาษาการศึกษา
เมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษใน พ.ศ.2490(ค.ศ.1947) มีอำนาจในการปกครองตนเองเป็นประเทศอิสระ และกำหนดประเทศให้เป็นสาธารณรัฐ ในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ได้ให้การรับรองภาษาที่จะใช้เป็นภาษาราชการถึง 15 ภาษา คือ
1. ภาษาอัสสัมมีส (Assamess)
2. ภาษาเบงกอลี (Bengali)
3. ภาษาคุชราตี (Gujarati)
4. ภาษาฮินดี (Hindi)
5. ภาษากรรณาฑ (Kanada)
6. ภาษาเเคชมีรี (Kashmiri)
7. ภาษามาลายาลัม (Malayalam)
8. ภาษามารฐี (Marathi)
9. ภาษาโอริยา (Oriya)
10. ภาษาปัญจาบี (Panjabi)
11. ภาษาสันสกฤต (Sansakrit)
12. ภาษาทมิฬ (Thamil)
13. ภาษาเตลุกู (Telugu)
14. ภาษาอูระดู (Uradu)
15. ภาษาสินธี (Sindhi)
ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 71 เมื่อปี ค.ศ.1992 ได้มีการเพิ่มเติมภาษาราชการขึ้นอีก 3 ภาษา คือ
1. ภาษาโกนกานี (Konkani)
2. ภาษามณีปูรี (Manipuri)
3. ภาษาเนปาลี (Nepali)
สรุปรวมแล้วปัจจุบันนี้ ประเทศอินเดียมีภาษาใช้เป็นภาษาราชการถึง 18 ภาษา กระจายอยู่ตามรัฐต่าง ๆ ทั่วอินเดีย บางภาษาก็มีจำนวนผู้ใช้มาก เช่นภาษาฮินดี มีผู้ใช้มากกว่า 300 ล้านคนเศษ ขณะที่บางภาษาเช่น ภาษามณีปูรี มีผู้ใช้เพียงแค่ 1 ล้านกว่าคนเท่านั้นเอง
ในการแบ่งเขตการปกครองประเทศอินเดียออกเป็นรัฐ (state) ในปัจจุบันนั้น ได้ใช้เกณฑ์ของภาษาที่ประชาชนพูดเป็นหลักกำหนด โดยยึดหลักว่า ประชาชนที่พูดภาษาเดียวกันจะอยู่ในเขตปกครองเดียวกัน ดังนั้น จึงทำให้แต่ละรัฐมีอาณาบริเวณไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของผู้ใช้ภาษาร่วมกัน
 
ศาสนาของชาวอินเดีย
แม้การทำความรู้จักกับชาวอินเดีย สามารถทำผ่านภาษาได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะรู้จักผู้คนชาวอินเดียอย่างแท้จริง อีกวิธีหนึ่ง ที่จะทำความเข้าใจพวกเขาได้ คือ ทำความเข้าใจผ่านศาสนา
ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่ไม่มีศาสนาประจำชาติ (Secular State) แต่ประชาชนชาวอินเดีย ได้สร้างอัตลักษณ์ของพวกเขาด้วยกระบวนการทางศาสนาเป็นหลัก เพราะฉะนั้น เรื่องศาสนาจึงเป็นเรื่องใหญ่ในความเป็นอินเดีย ในปัจจุบันนี้ชาวอินเดียเมื่อจำแนกโดยศาสนาแล้วจะมีสัดส่วนในแต่ละกลุ่มศาสนา ดังนี้
1. ศาสนาฮินดู - มีคนนับถือประมาณ 82.4%
2. ศาสนาอิสลาม - มีคนนับถือประมาณ 11.7%
3. ศาสนาคริสต์ - มีคนนับถือประมาณ 2.3%
4. ศาสนาซิกข์ - มีคนนับถือประมาณ 2.0%
5. ศาสนาพุทธ - มีคนนับถือประมาณ 0.8%
6. ศาสนาเชน - มีคนนับถือประมาณ 0.4%
7. ศาสนาอื่น ๆ - มีคนนับถือประมาณ 0.4%
ศาสนาฮินดู เป็นศาสนาที่มีศาสนิกชนมากที่สุด ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า เมื่อมีการแยกประเทศออกเป็นประเทศปากีสถานและบังคลาเทศนั้น แยกโดยถือจำนวนศาสนิกชนเป็นตัวกำหนดในการแยก เพราะฉะนั้น ชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามจึงแยกออกไปเป็นประเทศปากีสถาน และบังคลาเทศไปเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้จะมีชาวฮินดูเป็นประชากรกลุ่มใหญ่จนอาจจะกล่าวได้ว่า อินเดียเป็นประเทศฮินดู แต่ประชาชนชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอื่น ๆ นอกจากฮินดู ก็มีสิทธิและเสรีภาพทางศาสนาไม่น้อยและด้อยกว่าฮินดู อาจจะกล่าวได้ว่า อินเดียเป็นดินแดนเสรีภาพทางศาสนาที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลกก็ได้
ความแตกต่างระหว่างชาวอินเดียที่นับถือศาสนาต่างกันนั้น มีเงื่อนไขของจารีต วัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นเข้ามาประกอบด้วย เช่น ชาวต่างประเทศอาจจะได้เห็นภาพของความขัดแย้งระหว่างชาวอินเดียที่เป็นมุสลิมและฮินดูในรัฐคุชราต เพราะมีข่าวสารการเบียดเบียนกันระหว่างศาสนิกชนทั้ง 2 ศาสนา แต่ภาพของชาวมุสลิมและชาวฮินดูในรัฐเกราลา ที่ตั้งบ้านอยู่ติดกัน เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันและกันก็มีอยู่ในสังคมอินเดีย นอกจากนี้ ยังมีชาวคริสต์ที่ดำเนินชีวิตอย่างกลมกลืนกับวัฒนธรรมฮินดู เช่น รับประทานอาหารมังสวิรัติ เพราะเชื่อว่าการทานเนื้อสัตว์เป็นบาป เรื่องศาสนาที่เป็นครรลองของวิถีแห่งชีวิตของชาวอินเดีย จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราเรียนรู้ชาวอินเดียได้ดียิ่งขึ้น
เนื่องจากชาวอินเดียถึง 82 % เป็นชาวฮินดู ระบบความคิดและความเชื่อแบบฮินดู จึงเป็นกรอบสำคัญในการกำหนดกลุ่มชาวอินเดีย ทำให้ชาวต่างประเทศได้ใช้เป็นเครื่องกำหนดวิธีการเรียนรู้ชาวอินเดียได้ กรอบกำหนดชาวอินเดีย โดยกรอบศาสนาฮินดูที่ชาวต่างประเทศคุ้นเคยคือ กรอบของ "วรรณะ"
 
วรรณะของชาวอินเดีย
เรื่อง "วรรณะ" เป็นเรื่องที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจชาวอินเดียมายาวนาน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เขียนเป็นนักเรียนอยู่ในอินเดีย ได้ออกไปพบชาวอินเดียตามชนบทหลายครั้ง แล้วถูกเขาถามว่าเป็นวรรณะอะไร เมื่อตอบว่าไม่มีวรรณะ เขาจะรู้สึกแปลกใจว่า เป็นไปได้อย่างไรที่เป็นมนุษย์แล้วไม่มีวรรณะ การที่ตอบว่าไม่มีวรรณะ เป็นคำตอบที่เขาคิดว่าเหลวไหล คล้ายกับถามว่า "เป็นลูกใคร" แล้วตอบว่า "ไม่มีพ่อ" เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดมาแล้วไม่มีพ่อ หากไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อก็ยังพอฟังได้ แต่คำตอบว่าไม่มีพ่อนั้นเหลวไหลสิ้นดี ความคิด ความเชื่อของชาวอินเดียในชนบทเช่นนี้ ย่อมบอกให้เรารู้ว่า เรื่อง "วรรณะ" เป็นเรื่องใหญ่ของชาวอินเดีย
ตัวตนของชาวอินเดียนั้นถูกทำให้ปรากฏผ่านกรอบของระบบวรรณะมาอย่างยาวนานนับพันปี แม้ต่อมาระบบวรรณะจะถูกทำให้คลายความสำคัญลง แต่ก็ยังคงเป็นกรอบกำหนดความหมายแห่งชีวิตของชาวอินเดียที่เป็นฮินดูอยู่ อัตลักษณ์ของชาวฮินดูถูกนิยามขึ้นจากโคตรและสกุลที่สังกัดอยู่ในวรรณะใดวรรณะหนึ่ง ความหมายแห่งความเป็นตัวตนของบุคคลหนึ่ง ๆ จึงไม่ได้สร้างขึ้นมาอย่างลอย ๆ หากแต่ต้องผูกพันอยู่กับ วรรณะ โคตร และสกุล ชื่อสกุล จึงมีความหมายบอกวรรณะไปด้วย เช่น เมื่อเราได้รู้ว่าคนนี้สกุล "คานธี" ชื่อสกุลนี้จะบ่งบอกว่าเป็นวรรณแพศย์ ที่สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มพ่อค้าที่ค้าขายเครื่องของหอม (คันธ = เครื่องของหอม) เป็นต้น
แม้ในปัจจุบัน วรรณะ ไม่ได้กำหนดระดับชั้น และหน้าที่ในสังคมเหมือนดังเช่นอดีต แต่ระบบวรรณะ ก็ยังเป็นกรอบที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจความเป็นคนอินเดียได้อยู่พอสมควร
ไม่ว่าจะเป็นสีผิว ชาติพันธุ์ ภาษา ศาสนา หรือ วรรณะ ล้วนเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่าความเป็นอินเดียมีราก มีเครื่องประดับตกแต่งที่น่าสนใจสำหรับใครก็ตามที่สนใจอินเดีย
 
อารยธรรมในอดีตของอินเดีย
มนุษย์ในเชิงกายภาพและชีวเคมีนั้น คงจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก แม้ว่าจะมีชาติพันธุ์ต่างกัน แต่มนุษย์ในเชิงวัฒนธรรมนั้นกลับมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน ยิ่งการทำความเข้าใจมนุษย์ต่างวัฒนธรรม ยิ่งมีความยากยิ่งกว่ามนุษย์ในวัฒนธรรมเดียวกัน
ชาวอินเดียเกิดมาในวัฒนธรรมที่มีอายุเก่าแก่นับเป็นเวลาหลายพันปี อายุของวัฒนธรรมในแต่ละสังคมนั้นมีไม่เท่ากัน วัฒนธรรมไทยมีอายุไม่กี่ร้อยปี ขณะที่วัฒนธรรมอินเดียมีอายุหลายพันปี อายุของวัฒนธรรม ถูกสืบทอดต่อกันมาจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ผ่านระบบความคิด ความเชื่อ ความนิยม ที่เป็นสายใยต่ออายุของวัฒนธรรมให้สืบเนื่องกัน ไม่ขาดสูญหายไปกับกาลเวลา ในบรรดาประเทศที่มีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่เก่าแก่ของโลกนั้น อินเดียเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งอารยธรรมของโลก
ถ้าวัฒนธรรมเปรียบเสมือนแม่น้ำ แม่น้ำแห่งวัฒนธรรมอินเดีย ก็เป็นสายน้ำที่ยาวไกล จนไม่รู้ว่าต้นน้ำนั้นอยู่ ณ ที่ใด เรารู้ได้แต่เพียงว่า เราได้ดื่มกินน้ำในแม่น้ำสายนี้ โดยไม่เคยย้อนรอยกลับไปถึงต้นกำเนิดที่แน่ชัดของแม่น้ำเลย
ยังคงเป็นปริศนาสำหรับนักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดี ที่จะชี้ชัดว่าวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่ชื่อว่าอินเดียนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด และชนกลุ่มใดเป็นผู้สร้างวัฒนธรรมอันมีอายุยาวนานนี้
 
อารยธรรมสินธุ
จุดที่เก่าแก่ แต่พอจะกำหนดรู้ได้เกี่ยวกับอารยธรรมอินเดียคือ จุด ณ ช่วงเวลาประมาณ 2,500 - 1,500 ปี ก่อนพุทธศักราช ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ณ พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ มีร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีให้ปรากฏว่า มีการตั้งถิ่นฐานของประชาชนที่รู้จักทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยโลหะชนิดต่าง ๆ มีการจัดผังเมืองที่ดี มีระบบสาธารณูปโภคที่เหมาะสม เช่น มีการตัดถนน มีทางระบายน้ำ มีการจัดระบบส่งน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคใช้สอยอย่างเหมาะสม บ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็สร้างด้วยอิฐ ในลักษณะอาคารหลายชั้น ประชาชนมีความสามารถทำเครื่องประดับตกแต่งด้วยโลหะมีค่าประเภททองคำ เงิน และอัญมณีประเภทต่าง ๆ ทางด้านสังคมก็มีระบบความเชื่อ มีการเคารพบูชาเทพเจ้าที่เป็นพระแม่เจ้า(เทพผู้หญิง) และเคารพธรรมชาติรอบ ๆ ตัว เช่น แม่น้ำ แผ่นดิน ภูเขา เป็นต้น
ร่องรอยอารยธรรมดังกล่าวถูกสำรวจพบโดยนักสำรวจชาวอังกฤษ ศูนย์กลางอยู่ที่ฮารัปปา (Harappa) ในเมืองลักขณะ แคว้นปัญจาบ และที่โมเฮ็นโจดาโร (Mohenjo-Daro) ที่เมืองตะโกเมอรี่ แคว้นซินด์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศปากีสถาน หลักฐานที่สำรวจพบนี้ เป็นสิ่งยืนยันความรุ่งเรืองของประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ เมื่อประมาณ 5,000 ปีผ่านมาแล้ว และอารยธรรมที่รุ่งเรืองในยุคนั้น รู้จักกันในชื่อว่า อารยธรรมสินธุ (Sindhu Civilization)
ชนกลุ่มใดเป็นผู้สร้างอารยธรรมนี้ และอารยธรรมที่เกิดขึ้นนั้นจบลงอย่างไร ยังคงเป็นคำถามให้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีในปัจจุบันถกเถียงกันอยู่ คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ชนพื้นเมืองแห่งที่ราบลุ่มสินธุ ซึ่งเป็นชนเผ่าทราวิฑหรือมิลักขะเป็นผู้สร้าง และมีความสัมพันธ์กับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia Civilization) ในบริเวณลุ่มน้ำไทกริสและยูเฟรติสบริเวณเอเชียกลาง
อารยธรรมสินธุนี้ มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนที่ชนเผ่าอารยันจะเข้ามาสู่แผ่นดินอินเดียในปัจจุบัน แต่แล้วอารยธรรมสินธุนี้ก็เสื่อมลง เหลือไว้แต่ทรากอารยธรรมที่เป็นเพียงร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีต อะไรคือเหตุแห่งความเสื่อมของอารยธรรมสินธุ ยังเป็นปัญหาให้นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันนี้ บ้างก็ว่า ถูกทำลายลงโดยพวกอารยัน บ้างก็ว่า เพราะภัยธรรมชาติ หรือบางความเชื่อก็ว่า เป็นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลง จึงทำให้ประชาชนในที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุอพยพไปแสวงหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม แต่ผลที่ปรากฏก็คือ อารยธรรมสินธุได้จบสิ้นลงประมาณ 2,000 - 1,500 ปี ก่อนพุทธศักราช
 
อารยธรรมพระเวท
ชนเผ่าอารยัน เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินอินเดียมาก่อนหรือหลังอารยธรรมสินธุ ยังเป็นประเด็นโต้แย้งกันอยู่ แม้ในปัจจุบันนี้ แนวความคิดที่ยึดถือโดยคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ชนเผ่าอารยันเข้ามาสู่อินเดียหลังจากความเจริญสูงสุดของอารยธรรมสินธุผ่านไปแล้ว และชาวอารยัน ได้สร้างอารยธรรมของตนเองขึ้นมาในรูปแบบและเนื้อหาที่แตกต่างไปจากอารยธรรมสินธุเดิม แต่ก็ยังมีบางแนวคิดที่เชื่อว่า ชนเผ่าอารยันอยู่บนแผ่นดินอินเดียมานานแล้ว แต่ไม่ได้มีบทบาทในการสร้างวัฒนธรรมที่เป็นกระแสหลักของสังคม จวบจนเมื่ออารยธรรมสินธุเสื่อมลง จึงทำให้วัฒนธรรมของพวกอารยันกลายมาเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก และพัฒนามาเป็นอารยธรรมในเวลาต่อมา
ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายตามแบบแนวคิดใด อารยธรรมของพวกอารยันที่รู้จักกันคือ อารยธรรมพระเวทนั้น เกิดขึ้นหลังอารยธรรมสินธุ นั่นคือ เมื่อประมาณ 1,500 ปี ก่อนพุทธศักราชคัมภีร์พระเวท คือ หลักฐานยืนยันความรุ่งเรืองของอารยธรรมของชนเผ่าอารยันบนแผ่นดินอินเดีย ในขณะที่หลักฐานยืนยันความรุ่งเรืองของอารยธรรมสินธุ คือ โบราณวัตถุ อันเป็นเศษทรากอิฐและโบราณวัตถุอื่น ๆ ที่จับต้องได้ แต่สิ่งที่ยืนยันความรุ่งเรืองของพวกอารยัน สามารถดูได้จากหลักฐานทางจินตนาการ
คัมภีร์พระเวท คือ หลักฐานทางจินตนาการที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพวกอารยัน จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้ถูกสร้างสรรค์ ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนปรากฏเป็นรูปคัมภีร์ที่รู้จักกันในชื่อ "ไตรเวท" (คัมภีร์พระเวททั้ง 3 ) ได้แก่
1. ฤคเวท
2. ยชุรเวท และ
3. สามเวท
(พระเวทที่ 4 คือ อถรวเวท หรือ อาถรรพเวท เกิดขึ้นในภายหลัง)
คัมภีร์พระเวทนี้ ได้กลายมาเป็นรากฐานของอารยธรรมอินเดียในเวลาต่อมา และสืบทอดกันมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ด้วยรากฐานคือคัมภีร์พระเวทนี้เอง ที่เป็นฐานให้เกิดคัมภีร์อื่นคือ คัมภีร์พราหมณ, คัมภีร์อุปนิษัท, ตลอดทั้งมหากาพย์และวรรณกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ที่กลายมาเป็นจินตนาการอันทรงพลังให้กับความเจริญรุ่งเรืองของสังคมอินเดียในเวลาต่อมา
จินตนาการอันงดงามและทรงพลังของชาวอารยัน ได้กลายมาเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตและกฎระเบียบทางสังคม ในแง่ของสังคม ได้เกิดระบบวรรณะที่ทรงพลัง จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสังคมอินเดีย วรรณะทั้ง 4 คือ
1. พราหมณ์
2. กษัตริย์
3. แพศย์ และ
4. ศูทร
ข้อกำหนดเรื่องวรรณะนี้ มิใช่กฏระเบียบทางสังคม ที่เป็นเพียงข้อบังคับหรือข้อกำหนดทางหน้าที่ในสังคม เหมือนข้อกำหนดในสังคมอุตสาหกรรมปัจจุบัน หากแต่เป็นข้อกำหนดแห่งคุณค่าและความหมายของชีวิต สำหรับชาวอินเดีย แนวคิดเรื่องวรรณะของชาวอารยัน ได้กลายมาเป็นความเชื่อในเชิงโครงสร้างของสังคมอินเดีย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และความสัมพันธ์กันในมิติอื่น ๆ
ในแง่เศรษฐกิจ ระบบวรรณะเป็นกรอบในการกำหนดการถือครองปัจจัยในการผลิตและการกระจายผลผลิต หากมองในยุคปัจจุบัน ภาพของระบบวรรณะ อาจจะดูว่าเป็นความไม่ยุติธรรม แต่เมื่อดูผลของระบบนี้ในเชิงเศรษฐกิจแล้วจะพบว่า ด้วยระบบการแบ่งงาน แบ่งหน้าที่กันในลักษณะนี้นี่เอง ที่ทำให้สังคมอินเดียยุค 3,000-4,000 ปีก่อนนี้ มีความความเข้มแข็ง มั่นคง จนได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของโลก ในด้านสังคม การเมือง การปกครองก็เช่นกัน ระบบวรรณะ ได้ทำให้โครงสร้างความสัมพันธ์กันของปัจเจก เป็นผลให้เกิดความมั่นคงของชุมชนและสังคมโดยส่วนรวม
ระบบความเชื่อเรื่องวรรณะนี้ เจริญงอกงามเป็นพลังกระแสหลัก กำหนดสังคมอินเดียได้ ก็ด้วยเพราะความเชื่อในคัมภีร์พระเวท แล้วถูกต่อเติมด้วยคัมภีร์พราหมณหมวดต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นผลผลิตทางจินตนาการของพวกอารยัน
นอกเหนือไปจากระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองแล้ว ชุดคำอธิบายภายใต้กรอบแนวคิดในคัมภีร์พระเวท คือ การกำหนดคุณค่าและความหมายของความเป็นมนุษย์ ที่เป็นรากฐานสำคัญยิ่งในความเป็นไปของกิจการต่าง ๆ ในหมู่มนุษยชาติ ความเชื่อมั่นในเป้าหมายของชีวิต (ปุรุษารถ) และจังหวะก้าวในแต่ละขั้นตอนของชีวิต (อาศรม) ที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ ได้กลายมาเป็นแผนที่ในการดำเนินชีวิตของชาวอินเดียในยุคนั้น

ที่มาของข้อมูล
อินเดีย : จากภูมิสัณฐานและประชากรถึงยุคพระเวท
ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
นักวิชาการอิสระ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของสารานุกรมมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
โดยมีหัวข้อสำคัญดังนี้คือ อินเดีย : แผ่นดินและประชากร, ศาสนาของชาวอินเดีย, วรรณะของชาวอินเดีย
อารยธรรมในอดีตของอินเดีย อารยธรรมสินธุ, อารยธรรมพระเวท
midnightuniv@yahoo.com

อารยธรรมอินเดีย


อารยธรรมอินเดีย
      อินเดียเป็นต้นสายธารทางวัฒนธรรมของชาติตะวันออก ( ชนชาติในทวีปเอเชีย ) หลายชาติ เป็นแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก บางทีเรียกว่า “แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ” ( Indus Civilization ) อาจแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของอินเดียได้ดังนี้
      1.  สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะของอินเดียเริ่มเมื่อผู้คนรู้จักใช้ทองแดงและสำริด เมื่อประมาณ 2,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และรู้จักใช้เหล็กในเวลาต่อมา พบหลักฐานเป็นซากเมืองโบราณ 2 แห่ง ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ คือ
          (1) เมืองโมเฮนโจ ดาโร ( Mohenjo Daro ) ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถาน
เมืองโมเฮนโจ ดาโร
 เมืองโมเฮนโจ ดาโร ภาพจากเว็บไซต์  archaeologyonline 
    
       (2) เมืองฮารับปา ( Harappa ) ในแคว้นปันจาป ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน
เมืองฮารับปา
 เมืองฮารับปา ภาพจากเว็บไซต์ thenagain  

       2.  สมัยประวัติศาสตร์ อินเดียเข้าสู่ “สมัยประวัติศาสตร์” เมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ประมาณ 700 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยชนเผ่าอินโด – อารยัน ( Indo – Aryan ) ซึ่งตั้งถิ่นฐานในบริเวณลุ่มแม่น้ำคงคา
สมัยประวัติศาสตร์ของอินเดียแบ่งเป็น 3 ยุค ดังนี้
จารึกอักษร บรามิ ลิปิ
 อักษร บรามิ ลิปิ
ภาพจากเว็บไซต์ citizendia 


      (1) ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่การถือกำเนิดตัวอักษรอินเดียโบราณ ที่เรียกว่า “บรามิ ลิปิ” ( Brahmi lipi ) เมื่อประมาณ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช และสิ้นสุดในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์คุปตะ ( Gupta ) เป็นยุคสมัยที่ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพระพุทธศาสนาได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
      (2) ประวัติศาสตร์สมัยกลาง เริ่มตั้งแต่เมื่อราชวงศ์คุปะสิ้นสุดลง ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 6 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อกษัตริย์มุสลิมสถาปนาราชวงศ์โมกุล ( Mughul ) และเข้าปกครองอินเดีย
      (3) ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ต้นราชวงศ์โมกุล ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงการได้รับเอกราชจากอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1947

อารยธรรมอินเดีย
     อารยธรรมอินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอายุเก่าแก่ไม่แพ้อารยธรรมแหล่งอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
       1.  สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ( ประมาณ 2,500-1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ) ถือว่าเป็นสมัยอารยธรรม “กึ่งก่อนประวัติศาสตร์” เพราะมีการค้นพบหลักฐานจารึกเป็นตัวอักษรโบราณแล้วแต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก และไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอักษรหรือภาษาเขียนจริงหรือไม่ ศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เมืองโมเฮนโจ – ดาโร และเมืองฮารัปปา ริมฝั่งแม่น้ำสินธุประเทศปากีสถานในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าเป็นอารยธรรมของชนพื้นเมืองเดิม ที่เรียกว่า “ทราวิฑ” หรือพวกดราวิเดียน ( Dravidian )
       2.  สมัยพระเวท ( ประมาณ 1,500-600 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-อารยัน ( Indo-Aryan ) ซึ่งอพยพมาจากเอเชียกลาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคาโดยขับไล่ชนพื้นเมืองทราวิฑให้ถอยร่นลงไปทางตอนใต้ของอินเดีย สมัยพระเวทแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ หลักฐานที่ทำให้ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์พระเวท” ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากนี้ยังมีบทประพันธ์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ มหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ บางทีจึงเรียกว่าเป็นยุคมหากาพย์
       3.  สมัยพุทธกาล หรือสมัยก่อนราชวงศ์เมารยะ ( Maurya ) ประมาณ 600-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) เป็นช่วงที่อินเดียถือกำเนิดศาสนาที่สำคัญ 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธและศาสนาเชน
       4.  สมัยจักรวรรดิเมารยะ ( Maurya ) ประมาณ 321-184 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าจันทรคุปต์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เมารยะได้รวบรวมแว่นแคว้นในดินแดนชมพูทวีปให้เป็นปึกแผ่นภายใต้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของอินเดีย
หัวสิงห์พระเจ้าอโศก
 หัวสิงห์พระเจ้าอโศก
ภาพจากเว็บไซต์ วิกิพิเดียสารนุกรมเสรี  


       สมัยราชวงศ์เมารยะ พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์ให้เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ( Asoka ) ได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนทั้งใกล้และไกล รวมทั้งดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินไทยในยุคสมัยที่ยังเป็นอาณาจักรทวารวดี
        5.  สมัยราชวงศ์กุษาณะ ( ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ.320 ) พวกกุษาณะ (Kushana ) เป็นชนต่างชาติที่เข้ามารุกรานและตั้งอาณาจักรปกครองอินเดียทางตอนเหนือ กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้ากนิษกะ รัชสมัยของพระองค์อินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการแพทย์
นอกจากนั้น ยังทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ( นิกายมหายาน ) ให้เจริญรุ่งเรือง โดยจัดส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระศาสนายังจีนและทิเบต มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีศิลปะงดงาม และสร้างเจดีย์ใหญ่ที่เมืองเปชะวาร์
        6.  สมัยจักรวรรดิคุปตะ ( Gupta ) ประมาณ ค.ศ.320-550 พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ต้นราชวงศ์คุปตะได้ทรงรวบรวมอินเดียให้เป็นจักรวรรดิอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอดจนการค้าขายกับต่างประเทศ
        7.  สมัยหลังราชวงศ์คุปตะ หรือยุคกลางของอินเดีย ( ค.ศ.550 – 1206 ) เป็นยุคที่จักรวรรดิแตกแยกเป็นแคว้นหรืออาณาจักรจำนวนมาก ต่างมีราชวงศ์แยกปกครองกันเอง
        8.  สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี หรืออาณาจักรเดลฮี ( ค.ศ. 1206-1526 ) เป็นยุคที่พวกมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย มีสุลต่านเป็นผู้ปกครองที่เมืองเดลฮี
        9.  สมัยจักรวรรดิโมกุล ( Mughul ) ประมาณ ค.ศ. 1526 – 1858 พระเจ้าบาบูร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โมกุลได้รวบรวมอินเดียให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิอิสลามและเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอินเดีย โดยอินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1858 กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช ( Akbar ) ทรงทะนุบำรุงอินเดียให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน และในสมัยของชาห์ เจฮัน ( Shah Jahan ) ทรงสร้าง “ทัชมาฮัล” ( Taj Mahal ) ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะอินเดียและเปอร์เซียที่มีความงดงามยิ่ง
ทัชมาฮาล